Action

Beverly Hills Cop III (1994) โปลิศจับตำรวจ 3

Beverly-Hills-Cop-III-poster

Eddie Murphy กลับมาอีกครั้งในบทแอ๊คเซล โฟลี่ย์ นายตำรวจจอมพล่าม สำหรับ Beverly Hills Cop III นี้เขาต้องการตามหาตัวคนร้ายที่ฆ่าสารวัตรทอดด์ (Gilbert R. Hill) หัวหน้าของเขา ซึ่งหลักฐานชี้ไปยังวันเดอร์เวิลด์ สวนสนุกที่เบเวอร์ลี่ ฮิลล์ (อีกแล้ว) และวายร้ายก็คือ เอลลิส เดอวัล (Timothy Carhart) หัวหน้ารปภ. ของที่นั่น พวกมันมีแผนอะไรกันแน่

ภาคนี้เจ๊งหนักครับ โดนสวดยับทีเดียว ถ้าจำไม่ผิดในบ้านเราก็ยังมีการโหวตโดยนิตยสารฉบับหนึ่งให้เป็นหนังยอดแย่ประจำปี 1994 เลยด้วยซ้ำ ซึ่งก็พอจะเข้าใจละฮะ เพราะถ้าลองเทียบกับภาคที่แล้วๆ ภาคนี้เนื้อหาอ่อนลง และความมันส์ในแง่แอ๊คชั่นก็ลดลงไปเยอะ การเดินเรื่องก็ขาดความตื่นเต้น ฉากตีกันตอนท้ายก็ไม่ใคร่จะมันส์นัก ทั้งๆ ที่ตีกันกลางสวนสนุก ซึ่งน่าจะเอาเครื่องเล่นต่างๆ มาใช้เป็นลูกเล่นได้เพียบ แต่ในหนังเอามาใช้แค่นิดหน่อยเท่านั้น

โดยรวมหนังค่อนข้างธรรมดาครับ ซึ่งจริงๆ มันก็มีเหตุผลนะ ผู้กำกับ John Landis เขาออกมายอมรับครับว่า แม้แต่ตัวเขาเองก็มองว่าบทหนังภาคนี้ค่อนข้างอ่อน แต่เขาก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวให้ Murphy เล่นมุกวาดลีลาทะเล้นตามสไตล์ก็น่าจะพอช่วยได้ แต่ทว่า Murphy กลับตีความบทแอ๊คเซลในมาดใหม่ครับ เขามองว่าแอ๊คเซลในภาคนี้โตขึ้นกว่าสมัยก่อน ไม่ใช่ตำรวจเลือดร้อนจอมลูกเล่นทะเล้นไปเรื่อยอีกต่อไป แล้วไหนตอนต้นเรื่องเขายังต้องหาเห็นหัวหน้าตายไปต่อหน้าต่อตาอีก เลยทำให้แอ๊คเซลไม่ค่อยเล่นมุก ไม่ค่อยขายขำ แต่จะออกแนวซีเรียสขึ้น และ Murphy ยังเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขาอยากเล่นหนังบู๊ซีเรียสบ้าง ตามอย่าง Wesley Snipes และ Denzel Washington ที่ช่วงนั้นกำลังขาขึ้นกับหนังแนวจริงจัง

นั่นเลยทำให้ Landis เองก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน เขาเคยบอกว่าการทำหนังเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างประหลาดสำหรับเขา เพราะดันได้มากำกับหนังที่ Murphy นำแสดง แต่ Murphy กลับไม่พ่นมุกอันเป็นเอกลักษณ์ประจำกาย

นอกจากนี้ Bronson Pinchot ที่แสดงสมทบในบทเซิร์จ (โผล่ภาคแรกและภาคนี้) ก็เคยออกมาบอกครับว่าช่วงนั้น Murphy กำลังอยู่ในภาวะซึมเศร้าครับ เนื่องจากหนังหลายเรื่องที่เขาแสดงในช่วงนั้นไม่ใคร่จะประสบความสำเร็จนัก เขาเลยอยู่ในโหมด Low Spirit – Low Energy ไม่มีความกระตือรือร้นในการแสดงสักเท่าไร แล้วสิ่งเหล่านั้นก็ปรากฎออกมาผ่านการแสดงหนังเรื่องนี้นั่นเอง

นั่นจึงทำให้เข้าใจครับว่าทำไมแอ๊คเซลดูไม่ลื่นไหลเมามันส์แบบภาคก่อนๆ บางทียังดูฉลาดน้อยลงมากอีกต่างหาก อีกทั้งตามปกติพี่แกพล่ามอย่างมีเหตุผล พูดง่ายๆ คือพล่ามเพื่อทำให้ต่อสู้มึน (แต่พี่แกยังมีสติอยู่และรอจังหวะจัดการอีกฝ่าย) แต่มาภาคนี้พี่แกพล่ามเองมึนเอง สุดท้ายการพล่ามไม่ได้ก่อนประโยชน์เท่าไหร่ แล้วพี่แกยังไม่ค่อยได้งัดวิชาตำรวจนอกตำราของแกมาใช้เท่าไหร่ด้วย ทั้งหมดนี้เลยทำให้ตัวหนังลดระดับความน่าสนใจลงครับ

ถือว่าน่าเสียดายไม่น้อยเหมือนกัน เพราะ Carhart แสดงได้ร้ายกำลังดี ดูโหด โฉด และมีสมอง แต่พระเอกกลับอ่อนลง หนังเลยออกมาตะกุกตะกัก (แต่จะว่าไปช่วงหลังๆ ตัวร้ายบทจะอ่อนก็อ่อนลงดื้อๆ เหมือนกัน) ดาราเจ้าอื่นๆ จะแสดงได้ไม่มีปัญหา แล้วหนังยังมีดารารับเชิญเพียบ ซึ่ง Landis เป็นผู้กำกับที่อัธยาศัยดีอยู่แล้วล่ะครับ ดังนั้นพอแค่ออกปาก เหล่าเพื่อนๆ ผู้กำกับก็พร้อมจะมาปรากฏตัวให้ซึ่งก็มีเกือบสิบรายน่ะฮะ เป็นใครลองไปดูเอง แต่รายที่เซอร์ไพร์สสุดๆ ก็หนีไม่พ้นเฮีย George Lucas นี่แหละ เขาโผล่มาเป็นคนเที่ยวสวนสนุกที่โดนแอ็คเซลแย่งขึ้นกระเช้าลอยฟ้าตัดหน้านั่นเอง

สำหรับเกร็ดการสร้างหนังเรื่องนี้ก็มีอยู่ว่า ก่อนที่หนังจะคลอดออกมาเป็นเวอร์ชั่นนี้ก็มีการร่างบทออกมาหลายเวอร์ชั่นครับ เช่น เวอร์ชั่นที่แอ๊คเซลกลายเป็นตำรวจเซเลบที่ใครๆ ก็รู้จักแล้วก็แท็คทีมสืบคดีกับนักสืบสก็อตแลนด์ยาร์ดที่แสดงโดย Sean Connery อีกเวอร์ชั่นหนึ่งก็จะให้แอ็คเซลกับเจฟฟรี่ย์ (เพื่อนตำรวจจาก 2 ภาคแรกที่รับบทโดย Paul Reiser) เดินทางไปยังลอนดอนเพื่อสืบคดีเกี่ยวกับแก๊งเจ้าพ่อและบทยังกำหนดให้เจฟฟรี่ย์ถูกผู้ร้ายฆ่าตายด้วย แต่ผู้สร้างไม่เห็นด้วยกับบทนี้สักเท่าไรเพราะมันไปละม้ายคล้ายหนัง Black Rain มากเกินไป

อีกเวอร์ชั่นก็จะให้แอ๊คเซล, โรสวู้ด (Judge Reinhold), แท็คเกิร์ต (John Ashton) 3 ซี้จาก 2 ภาคแรกยกขบวนไปลอนดอนเพื่อช่วยสารวัตรโบโกมิล (Ronny Cox) ที่ถูกผู้ก่อการร้ายจับเป็นตัวประกันระหว่างร่วมงานสัมมนาตำรวจนานาชาติ แต่ปัญหาใหญ่ของเวอร์ชั่นนี้คือต้องใช้ทุนสูงครับ ทำให้เกิดการรีๆ รอๆ กันพักใหญ่ จนในที่สุด Ashton กับ Cox ก็ติดงานหนังเรื่องอื่น เวอร์ชั่นนี้เลยล่มไป

ส่วนผู้กำกับนั้นก็มีชื่อของ Joe Dante (Gremlins), Kevin Hooks (Passenger 57) และ Robert Townsend (The Meteor Man) เวียนวนอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายคนที่ได้เก้าอี้ไปก็คือ Landis ที่เคยร่วมงานกับ Murphy มาแล้ว 2 หนซึ่งก็คือ Trading Places และ Coming to America (ที่สนุกกว่าเรื่องนี้หลายเท่าตัวอยู่ครับ)

สรุปว่าหนังไม่น่าจดจำนักครับ ค่อนข้างเรื่อยๆ ไม่ออกรสเท่า 2 ภาคแรก เสน่ห์ของแอ๊คเซลก็หายไปหลายขีด ไม่ว่าจะเพราะ Murphy อยากลดความขำของตัวละครลงแล้วเพิ่มความเป็นผู้ใหญ่แทน หรือจะเพราะว่าความกระตือรือร้นในการแสดงของเขาลดลงก็ตาม แต่มันก็ส่งผลให้หนังออกมาไม่ลื่นเท่าที่ควร และในภายหลัง Murphy ก็ออกมายอมรับครับว่า BHC ภาคนี้ไม่ใช่ภาคที่น่าพอใจสักเท่าไร

ในแง่รายได้ก็ถือว่าพอเท่าทุนครับ ลงทุนไป $50 ล้าน ได้คืนมา $119 ล้านจากทั่วโลก ซึ่งห่างไกลจาก 2 ภาคแรก (ที่ทำเงินทั่วโลกระดับ $300 ล้าน) หลายช่วงตัว

แต่กระนั้นเวลาผมเอา 2 ภาคแรกมาดูผมก็ต้องเอาภาค 3 มาดูปิดท้ายด้วยเสมอครับ ดูแบบให้ครบชุด แม้ความสนุกจะไม่มากก็ตาม

ไม่ถึงสองดาวน่ะครับ

Star12

(5.5/10)

BeverlyHillsCop3Ex