ถือเป็นซีรี่ส์แนวดราม่าที่เข้มข้นพอดูครับสำหรับ The Crown ที่จับเอาเหตุการณ์ตอนขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรมาผูกเป็นเรื่องราว โดยอิงจากเหตุการณ์จริงบางส่วน แล้วก็มีการแต่งเติมบ้างในบางส่วนเพื่อเพิ่มอรรถรส
ถือเป็นซีรี่ส์แนวดราม่าที่เข้มข้นพอดูครับสำหรับ The Crown ที่จับเอาเหตุการณ์ตอนขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรมาผูกเป็นเรื่องราว โดยอิงจากเหตุการณ์จริงบางส่วน แล้วก็มีการแต่งเติมบ้างในบางส่วนเพื่อเพิ่มอรรถรส
ส่วนใหญ่ปี 3 ของซีรี่ส์แนวแอ็กชันนี้มักมาทางเดียวกันครับ คือจะพยายามแหวกจาก 2 ปีแรกเท่าที่จะทำได้ ตามด้วยการสรรหาตัวร้ายที่ต้องใหญ่กว่าเดิมมาเป็นบอสใหญ่ให้เหล่าตัวเอกรับมือกัน
ตอนนั้นก็ใจหายเหมือนกันครับยามได้รู้ว่านี่จะเป็น CSI ปีสุดท้ายของแฟรนไชส์นี้ ซึ่งเหตุผลที่ใจหายก็คงเพราะติดตามดูทั้งชุดดั้งเดิมและภาคแยกต่อกันมาตั้ง 16 ปี จู่ๆ จะไม่มีอีกต่อไป ก็แอบโหวงเหมือนกัน
ลึกๆ แอบเชียร์ให้ซีรี่ส์นี้ออกมาดี ดัง และอยู่ได้นานๆ ครับ เพราะชอบ 2 ดารานำไม่ว่าจะ Gary Sinise (พี่แม็ค แห่ง CSI: NY) และ Alana De La Garz (โจ แห่ง Forever ซีรี่ส์ดีแต่อายุสั้นเกิน)
พูดแบบไม่อ้อมค้อมครับว่าสิ่งที่ผมเขียนคงมีอคติเจืออยู่กว่า 90% ดังนั้นใครต้องการ Comment แบบเป็นกลาง ก็บอกได้เลยครับว่าคงไม่ใช่สิ่งที่ผมจะเขียนแน่ๆ… รวมถึงต้องขออภัยท่านที่ชอบ MacGyver ฉบับนี้มา ณ ที่นี้ด้วยครับ ผมบอกเลยว่าผมไม่มีปัญหากับท่านที่ชอบ ผมเคารพในความชอบ-ไม่ชอบของแต่ละคน เพียงแต่นี่คือความรู้สึกที่ผมมีต่อซีรี่ส์นี้เท่านั้นครับ
เป็นซีรี่ส์ที่ปี 2 ที่ถือว่ามีอะไรน่าสนใจมากขึ้น – แต่ก็นั่นล่ะครับ “มากขึ้น” ในความหมายของผมก็คือเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่หากเทียบกับซีรี่ส์ฮีโร่อื่นๆ อย่าง Arrow, The Flash, Agents of S.H.I.E.L.D. อีกทั้ง Daredevil กับผองเพื่อนแล้ว ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่า Supergirl ไม่ได้แปลกใหม่หรือเต็มไปด้วยลูกเล่นแบบนั้น
ผมยังจำความรู้สึกตอนดูตอน Pilot ของซีรี่ส์นี้ได้ครับ ตอนนั้นมันรู้สึกเฉยมาก คือมันไม่ได้เลวร้ายนะครับ แต่มันไม่มีอะไรพิเศษ ดูเรื่อยๆ ธรรมดาๆ คนละเรื่องกับซีรี่ส์อย่าง Arrow, Gotham, The Flash กระทั่ง Constantine ที่มีอายุขัยแค่ 1 ซีซั่น ผมว่ามันยังสนุกกว่าเลย
ปีต่อมาที่บอกได้เลยว่าสนุกมากขึ้นกว่าปีแรก ซึ่งก็ถือว่าสมเหตุผลครับ เพราะปีแรกถือเป็นปีปูพื้น เป็นการแนะนำตัวละครและแนะนำแผนภูมิความสัมพันธ์เป็นหลัก จึงไม่แปลกหากในแง่เนื้อเรื่องจะยังไม่มีอะไรมาก
นี่ผมจรดนิ้วเขียนหลังจากเพิ่งดูตอนสุดท้ายของซีซั่น 6 จบหมาดๆ เลยครับ เรียกว่าอารมณ์กำลังอินทีเดียว ยอมรับเลยครับว่าดูจบแล้วยัง Move On ไม่ได้ ในหัวยังคงคิดถึงซีรี่ส์นี้อยู่ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ตลอด 6 ซีซั่นผลัดกันครอบครองพื้นที่ในสมองท่ามกลางความรู้สึกดีๆ เหมือนถูกโอบกอดด้วยเรื่องราวสนุกๆ ที่ผสมกันอย่างพอเหมาะระหว่างความฮาแบบแสบๆ และความอบอุ่นกินใจ ซึ่งก็แน่นอนล่ะครับว่าลองพูดขนาดนี้แล้ว ย่อมบ่งบอกว่าผมตกหลุมรักซีรี่ส์นี้อย่างแน่นอน
ตอนแรกผมนึกว่า Intern! จะเป็นหนังว่าด้วยคนทำงานน้องใหม่ที่เข้าไปฝึกงานอินเทิร์น แล้วก็เผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ก่อนจะฟันฝ่ามันและเอาชนะได้ในท้ายที่สุด แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ใช่แค่นั้นครับ หนังมีอะไรมากกว่านั้น