ตลอดการดูหนังเรื่องนี้ ในหัวผมจะมีคำๆ หนึ่งผุดขึ้นมาอยู่เป็นระยะๆ นั่นคือคำว่า “ผมเข้าใจนะ ผมเข้าใจ”
ตลอดการดูหนังเรื่องนี้ ในหัวผมจะมีคำๆ หนึ่งผุดขึ้นมาอยู่เป็นระยะๆ นั่นคือคำว่า “ผมเข้าใจนะ ผมเข้าใจ”
ผมนั้นโปรดปรานรายการแนวตามล่าหาความจริงมานานครับ ประเภทล่าปริศนาลึกลับทั้งคดีฆาตกรรมหรือเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งผมว่ารายการเหล่านี้มีเสน่ห์นะ เพราะมันจะมาพร้อมปมที่ชวนติดตาม คำถามชวนสงสัย แล้วบางตอนก็ทำให้เรารู้สึกหลอนได้อย่างชะงัดนัก ซึ่งทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้นำเสนอล่ะครับว่าจะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้น่าติดตามแค่ไหน
วันนี้ (หมายถึง วันที่ผมเขียนนี่น่ะนะครับ) คือวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ครับ เป็นประเพณีปกติของผมที่จะนำเอาหนังแนวฟีลกู้ดวันคริสต์มาสมาเปิดดูเพื่อเรียกรอยยิ้มและทำให้หัวใจอบอุ่นต้อนรับวันคริสต์มาส และหนังเรื่องแรกที่ผมคว้ามาดูก็คือเรื่องนี้ครับ
สารภาพแบบแมนๆ เลยว่า ไม่ได้หลับระหว่างดูหนังมานานหลายปีแล้วครับ แต่กับเรื่องนีนี่เอาไม่อยู่จริงๆ วูบหลับหลายรอบจนต้องเดินไปเอาน้ำลูบหน้า
ว่าตามจริงผมชอบ Escape From New York มากกว่าครับ แม้จะไม่ได้มันส์อะไรมากแต่มันมีความกลมกล่อมสำหรับหนังผจญภัยในโลกอนาคตที่เสื่อมทราม มีความลงตัวพอดีในแง่การเดินเรื่อง ในขณะที่ Escape From L.A. นี่ ความลงตัวค่อนข้างน้อยกว่า การเดินเรื่องมีช่วงอืดช้าและในแง่ความมันส์ก็ยังไม่ถึงเครื่อง
ถือเป็นหนังแอ็กชันผจญภัยที่ทำออกมาได้ดีอีกเรื่องหนึ่งสำหรับสมัยนั้นครับ และเป็นอีกหนึ่งผลงานที่น่าจดจำของผู้กำกับ John Carpenter ด้วย
เกิดคดีฆาตกรรมหญิงสาวคนหนึ่งในบริษัทใหญ่กลางเมืองลอสแองเจลิส ทำให้จอห์น คอนเนอร์ (Sean Connery) และ เว็บสเตอร์ สมิธ (Wesley Snipes) 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกส่งมาเพื่อไขคดี
ภาคแรกทำเงินไปเกินความคาดหมายของผู้สร้าง ดังนั้นการสร้างภาคต่อก็เป็นของแน่นอนล่ะครับ
หนังวัยรุ่นแนวไซไฟที่ผมรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่การดูครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อนครับ โดยผมนั้นดูภาค 2 (ภาค Bogus Journey) ก่อน แล้วค่อยมาดูภาคแรกทีหลัง และผลสรุปรวมก็คือผมรู้สึกสนุกกับการดูหนังชุดนี้ทุกรอบที่ดูครับ
เล่มนี้ก็เป็นการรวมบทความขนาดสั้นของอาจารย์นภดลนะครับ หนังสือจัดว่าอ่านง่ายย่อยง่าย อ่านแล้วนำไปปรับใช้ได้ทันที… อันที่จริงต้องบอกว่า “อ่านแล้วควรนำไปใช้โดยทันที” น่าจะตรงกว่าครับ