หนังเรื่องนี้เงียบมากและวืดอย่างแรงครับ ซึ่งหลังจากลองชมแล้วก็ตระหนักเลยว่าทำไมหนังถึงวืดได้ขนาดนี้ เพราะมันไม่มีอะไรให้ติดตามสักเท่าไรครับ
หนังเรื่องนี้เงียบมากและวืดอย่างแรงครับ ซึ่งหลังจากลองชมแล้วก็ตระหนักเลยว่าทำไมหนังถึงวืดได้ขนาดนี้ เพราะมันไม่มีอะไรให้ติดตามสักเท่าไรครับ
สิ่งแรกที่ต้องบอกกันคือนี่ไม่ใช่หนังแนวแอ็กชันเอามันส์ประเภทเอเลี่ยนบุกโลกแล้วก่อภัยพิบัติครับ ดังนั้นใครอยากดูเพราะฉากทำลายล้างสะใจๆ ล่ะก็ อย่าลืมลดความคาดหวังไว้ก่อนนะครับ
แม้จะบอกว่าดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ Stephen King แต่เอาเข้าจริงหนังที่ออกมานี่ราวๆ 90% นี่ด้นเอาใหม่หมดครับ เพราะเรื่องสั้นจริงๆ ของป๋า King ว่าด้วยคนตัดหญ้าที่ไปทำงานให้กับบ้านหลังหนึ่ง ก่อนที่คนในบ้านจะเจอเรื่องสยองอันเนื่องจากไปเห็นในสิ่งไม่ควรเห็น
ภาคต่อเข้าโรงไปจนจะออกแผ่นแล้วนะครับ ผมว่าจะไปดูแต่ก็พลาดไป ก็ไม่เป็นไรครับ รอดูที่บ้านแล้วกัน
ผมดูหนังเรื่องนี้โดยไม่เอาอะไรไปเปรียบไปเทียบกับฉบับดั้งเดิม เพราะหากเปรียบแล้วล่ะก็ ฉบับเดิมทำไว้ขลังมาก แม้จะเป็นการ์ตูนก็ตาม แต่มันผสมระหว่างไซไฟ แฟนตาซี ลึกลับ ทริลเลอร์ และดราม่าที่ถึงรสเหลือหลาย (แต่ก็คงไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกจริต)
ปีที่ผ่านมามีหนังว่าด้วยโลกแตกแบบเน้นฮาและบ้าสุดๆ อยู่ 3 เรื่องครับ ได้แก่ This is The End และ Rapture-Palooza 2 เรื่องนี้มาจากฝั่งอเมริกา และอีกเรื่องคือ The World’s End จากฝั่งอังกฤษ
“ความหวัง คือสิ่งเดียวที่แข็งแกร่งกว่าความกลัว”
ในแง่ความบันเทิง The Hunger Games ตอบโจทย์ได้ดี เพราะมีทั้งพล็อตชวนติดตาม มีแอ็กชันมีความตื่นเต้นชวนลุ้น และมีเรื่องให้สะเทือนใจแทรกเป็นพักๆ
สำหรับภาคต่อนี้เปลี่ยนเหตุมาเกิดบนเที่ยวบินครับ เป็นเหตุที่เกิดควบคู่ไปกับเหตุในภาคแรก เมื่อเชื้อร้ายได้แพร่มายังเครื่องด้วย ทำให้เครื่องบินต้องลงจอดกะทันหัน แต่กระนั้นก็สายไปแล้วครับ เพราะมีคนติดเชื้อไล่ฟัดคนเรียบร้อย ทีนี้คนที่เหลือก็เลยต้องพยายามเอาตัวรอดตามสูตรน่ะครับ
เรื่องนี้เป็นอะไรที่เสียดายมาก เพราะจริงๆ มันน่าสนใจนะครับ พล็อตมันอาจไม่ได้ใหม่แต่รายละเอียดและองค์ประกอบบางอย่างมันน่าสนใจดี จนผมต้องลงเอยด้วยประโยคเดิมๆ อย่าง “ถ้าทำออกมาดีๆ และเล่าด้วยจังหวะที่เหมาะล่ะก็ มันจะเจ๋งมาก”