สิ่งแรกที่ผมต้องแจ้งให้ทุกท่านทราบคือ รีวิวชิ้นนี้ปราศจากความเป็นกลางนะครับ ขอเขียนแบบเป็นตัวเองล้วนๆ ตามสไตล์เลยแล้วกัน
ทำไมผมถึงไม่กลางน่ะหรือครับ? นั่นก็เพราะปกตินั้นผมเป็นคนชอบคิดอะไรไปเรื่อย ผมชอบที่จะจ้องไปยังสถานที่สักแห่งหนึ่งแล้วมองพิจารณามัน มองความเป็นไปของมัน เช่น มองไปที่ป้ายรถเมล์ ดูคนมานั่งรอรถ แล้วก็ลุกไปขึ้นรถ บ้างก็มานั่งพักก่อนจะเดินต่อ ดูคนลงจากรถแล้วเดินไปยังที่หมายซึ่งก็ไม่อาจรู้ได้ว่าใกล้หรือไกล หรือไม่ก็มองไปยังคนบนรถ ท่ามกลางความคิดว่าพวกเขามาจากไหน และกำลังจะไปไหน เรื่องราวแบบใดที่กำลังดำเนินไปบนเส้นทางชีวิตของเขา เขาสุข หรือเขาทุกข์ หรือเขาอาจจะเหม่อลอย
บางครั้งเวลาไปเที่ยวไหน ผมก็จะมองไปยังจุดสักจุดหนึ่ง พลางคิดว่าในอดีตมันเคยเป็นอย่างไร บางครั้งถ้าทำได้ก็จะถามคนที่อยู่แถบนั้น ว่าที่ตรงนั้นเคยมีประวัติไหม มันเคยเป็นอะไรมาก่อน หรือมันเป็นแบบที่มันเป็นมานานแล้ว… แล้วก็พลางคิดว่าต่อไปมันจะเป็นเช่นไรหนอ?
บางครั้งผมก็จะนั่งลงบนโซฟาในบ้าน ตัวที่ผมนั่นประจำ พลางคิดว่าเราเคยรู้สึกหรือพบเจออะไรบ้างน้า ตอนนั่งอยู่บนโซฟาตัวนี้… เราเคยนั่งบนโซฟานี้ยามเราหนุ่มกว่านี้ ตอนนั้นเรากำลังคิดอะไรอยู่? หรือคิดไปว่าอีก 10 ปี 20 ปี 30 ปี เมื่อเรานั่งอยู่บนโซฟาตัวนี้ ชีวิตเราจะเปลี่ยนไปแค่ไหนหนา?… เราจะนอนแล้วหลับไปเลยตลอดกาลตอนอยู่บนโซฟาตัวนี้ไหม?
นี่แหละครับผม นี่แหละคือสิ่งที่ผมเป็น – ดังนั้นสำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้สร้างมาเพื่อผมแท้ๆ เลยเชียว
ตัวหนังสร้างจากงานของ Richard McGuire ที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนผินดินแห่งหนึ่ง โดยตลอดทั้งเรื่องกล้องจะแช่ภาพอยู่ในที่เดิมครับ แล้วเราก็จะได้เห็นความเป็นไปที่เกิดบนผืนดินนั้น เช่น เมื่อหลายล้านปีก่อนตอนอุกกาบาตมาชนโลก ผืนดินนั้นเป็นเช่นไร เรื่อยมาจนถึงยุคสมัยต่างๆ จนถึงยามที่มันกลายเป็นบ้าน บ้านที่คนหลายครอบครัวมาอาศัย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เราก็จะได้เห็นความเป็นไปของพวกเขา ทั้งยาวสุขและยามเศร้า ยามยินดีปรีดาหรือยามทะเลาะเบาะแว้ง เนี่ยครับ หนังทั้งเรื่องมันมีแค่นี้แหละ
ผมมั่นใจเลยครับว่าต้องมีคนที่ไม่แนวกับหนังเรื่องนี้ บางคนอาจเบื่อกับการที่หนังตั้งกล้องอยู่แค่มุมเดียวไปตลอดทั้งเรื่อง หรือบางคนอาจรู้สึกไม่อินกับกลวิธีการเล่าเรื่อง ซึ่งก็บอกตรงๆ ว่าผมเข้าใจนะครับ ยอมรับเลยว่าผมก็ติดอยู่เหมือนกันกับการเล่าเรื่องแบบที่หนังเลือกใช้ คือหนังเลือกที่จะเล่าแบบสลับเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ บางนาทีอาจเล่าถึงยุคดึกดำบรรพ์ แล้วก็สลับมาเป็นยุคปัจจุบัน แล้วก็ย้อนไปสมัยอดีต ก่อนจะวกกลับมาที่อีกช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งลึกๆ ผมก็รู้สึกนะครับ ว่าอยากให้มันเดินเรื่องเป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆ เล่าทีละช่วงเวลาไปเรื่อยๆ แบบนั้นคนดูน่าจะอินและเข้าถึงเรื่องราว เข้าถึงตัวละครได้มากกว่า เพราะที่เป็นนี่คือสลับไปมา เดี๋ยวเล่าตอนนั้น เดี๋ยวมาตอนนี้ อารมณ์มันเลยเหมือนถูกคั่นสลับอยู่ตลอด ความอินความต่อเนื่องมันเลยเหมือนถูกขัดอยู่เป็นระยะๆ
แต่ขณะเดียวกันก็พอเข้าใจน่ะครับ ว่ามันก็ต้องเลือกน่ะนะ ว่าจะเล่าแบบสลับหรือเล่าแบบเส้นตรง (อันนี้ไม่เอาหนังสือต้นฉบับมาอ้างอิงนะครับ คือพูดถึงเฉพาะความเป็นตัวหนัง) ซึ่งการจะเล่าแบบเส้นตรงนั้นก็อาจจะเสี่ยงต่อการทำให้คนดูเบื่อ ดังนั้นการเล่าแบบตัดสลับน่าจะทำให้หนังดูน่าสนใจ ดูมีการเคลื่อนไหวมากกว่าการเล่าแบบตรงๆ ก็นั่นล่ะครับ ผมพอเข้าใจน่ะแหละ – แต่ก็ยังแอบคิดน่ะครับ ว่าถ้าเล่าแบบเรียงตามเวลาเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วตัดสลับย้อนอดีตบ้าง มันอาจจะดูกลมกล่อมและทำให้เราอินไปกับหนังได้มากกว่าที่เป็น
แต่หนังก็เล่าแบบนี้ไปแล้วน่ะนะครับ ก็ทำได้เพียงดูในแบบที่มันเป็น ซึ่งก็อย่างที่บอกว่าตอนต้นๆ ก็ต้องตั้งสมาธิในการดูกันหน่อย ค่อยๆ เรียงไทม์ไลน์ไปว่าเรื่องไหนเกิดก่อนเกิดหลัง ค่อยๆ ปะติดปะต่อเอา ซึ่งผมก็ยอมรับนะว่าอาจจะยังไม่เก็ตลำดับทุกอย่างได้ทั้งหมด แต่ก็พอจะเห็นภาพรวม พอจะแยกได้ว่าเส้นเรื่องใครเป็นของใคร
ผมเริ่มมาจูนหนังติดแบบจริงๆ จังๆ ก็ครึ่งหลังน่ะครับ ส่วนหนึ่งอาจเพราะครึ่งหลังหนังเริ่มจะเน้นเส้นเรื่องของริชาร์ด (Tom Hanks) และมาร์กาเร็ต (Robin Wright) มากขึ้น และพอเราเข้าใจว่าเส้นเรื่องนี้เกี่ยวกับเส้นเรื่องของอัล (Paul Bettany) และโรส (Kelly Reilly) อย่างไร ภาพในหัวเรามันเลยได้รับการเติมเต็ม สามารถเชื่อมเรื่องต่างๆ เข้าด้วยกัน แล้วก็พอจะอินกับเส้นเรื่องนี้บ้าง – ในขณะที่เส้นเรื่องอื่นถือว่ากลางๆ ครับ ดูแล้วพอเข้าใจเรื่องราว แต่ก็ยังไม่อินเท่าไหร่นัก
โดยรวมแล้วผมชอบนะครับ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เพราะมันเข้าทางผมพอดี ผมเลยจูนติดกับหนังได้ง่ายหน่อย แล้วมันก็เข้าใจในสตอรี่ ในแง่คิด ในสาระที่หนังนำเสนอ ที่ชัดๆ เลยคือเรื่องชีวิตคนครับ ที่มีขึ้นมีลง มีเปลี่ยนมีแปลงได้เสมอ แล้วก็เรื่องของชีวิตคู่ เรื่องของการที่ใครสักคนมาอยู่กับใครสักคน ซึ่งในหนึ่งชีวิตคู่มันก็จะมีทุกอย่างผสมกันอยู่ ทั้งเรื่องดีๆ และเรื่องร้ายๆ ทั้งความสุขและคราบน้ำตา ทั้งยามที่เข้าใจกันและยามที่ต่างคนต่างไป ซึ่งผมว่าหนังนำเสนอภาพเหล่านี้ได้ค่อนข้างดี
อาจเพราะผมมีครอบครัวแล้ว อายุเกินครึ่งคนไปแล้ว มัยเลยอินกับเรื่องราวได้มากหน่อย เพราะแต่ละวันนี่ก็คิดเสมอครับ ว่าเราจะอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่ ลูกเราจะมีอนาคตเป็นแบบไหน ชีวิตในวันพรุ่งเราจะเจอเรื่องอะไรอีก หรือคนรักของเราล่ะ เขาจะแข็งแรงไหม จะอยู่กับเราได้อีกนานไหม เราจะไปหรือเขาจะไปก่อน และหากเขาไปก่อนแล้วเราจะอยู่ต่อไหวไหม หรือถ้าเราไปก่อนแล้วเขาจะอยู่อย่างไร ฯลฯ มันคิดไปเรื่อยครับ และหนังเรื่องนี้ก็เหมือนฉายภาพห้วงความคิดเหล่านั้นให้เราได้เห็นเป็นฉากๆ ซึ่งมันก็เป็นอะไรแบบที่เราเคยคิดเคยคำนึงถึงหรือเคยผ่านมาแล้วพอดี
หรือฉากที่หนังตัดสลับระหว่างภาพปัจจุบันกับภาพวันวาน เช่นฉากที่โรสไม่อยู่แล้ว จากไปแล้ว แล้วหนังก็ตัดสลับกับภาพในอดีตตอนที่เธออุ้มลูกด้วยความรัก แล้วก็เต้นไปรอบๆ ห้อง กล่อมลูกในอ้อมแขนของเธออย่างมีความสุข – ไม่รู้พวกท่านจะเคยไหมน่ะนะครับ แต่ผมเป็นนะ ประจำเลย ยามเห็นพ่อแม่ตัวเองที่เริ่มแก่เฒ่า มันจะมีภาพ Flashback ผุดขึ้นมาเลยครับ ว่าสมัยก่อนท่านดูแลเรามานะ ท่านสอนเรามานะ ท่านเคยจูงมือเรานะ ท่านเคยกอดเรานะ ท่านเคยไปนั่งรอรับเรากลับบ้านนะ ฯลฯ ฉากแบบนี้เลยเข้าไปนั่งในอ้อมอกอ้อมใจผมได้อย่างไม่ยากเย็น
ก็เข้าใจนะครับว่าชีวิตมันต้องมีการพรากจากคนที่รัก มันคือเรื่องธรรมชาติอย่างหนึ่ง และเราควรทำใจรับกับมัน – แต่ก่อนจะทำใจได้ ก็ขอผมทำใจไม่ได้สักแป๊บหนึ่งก็แล้วกันนะครับ ^_^
สำหรับผมแล้ว หนังก็ยังไม่ถึงขั้นเจ๋งแจ๋วหรือสมบูรณ์แบบหรอกครับ มันก็ทั้งส่วนที่โดนและส่วนที่ยังติดๆ ขัดๆ แต่พอดูจบแล้ว ผมว่าผมมีความชอบหนังเรื่องนี้ในปริมาณที่มากกว่านะ แต่แน่ๆ เลยคือผมต้องดูซ้ำแน่นอนครับ ผมอยากสังเกตรายละเอียดต่างๆ ให้มากขึ้น ซึ่งผมรู้สึกเลยว่าหนังมีรายละเอียดในแต่ละฉากมากกว่าที่เราสังเกตเห็นได้ในครั้งแรกที่ดู
ส่วนที่ต้องชมอย่างมากสำหรับหนังเรื่องนี้คืองานเทคนิคครับผม ถือว่าทำออกมาได้เนียนมาก ภาพสวยกำลังเหมาะ แล้วที่แน่ๆ คืองานปรับแต่งใบหน้าตัวละครนี่ต้องถือว่าน่าพอใจ คืออาจยังไม่เนียนกริ๊บๆ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีแล้ว เพราะในเรื่องเนี่ย จริงๆ Tom Hanks แก่กว่า Paul Bettany 15 ปี และแก่กว่า Kelly Reilly 21 ปีครับ แต่หนังสามารถแต่งหน้าโมหน้าพวกเขาในแต่ละฉากออกมาได้อย่างเหมาะสมกับอายุตามท้องเรื่องนี่ก็ต้องคารวะแล้วล่ะ หรืองานภาพต่างๆ ที่ร้อยเรียงแต่ละช่วงเวลาเข้าด้วยกัน ถือว่าทำได้ดีครับ จุดนี้ต้องยอมรับว่างานเทคนิคจัดว่าดีเลย
ออกตัวเลยครับว่าผมเป็นแฟนหนังของผู้กำกับ Robert Zemeckis อย่างไตรภาค Back to the Future กับ Forrest Gump นี่คือสุดยอด ไหนจะ Who Framed Roger Rabbit, Contact, What Lies Beneath และ Cast Away แต่ละเรื่องคือของโปรดของผมทั้งนั้น แต่ผมจะไม่ค่อยอินกับงานที่เป็นโมชั่นแคปเจอร์ของเขาสักเท่าไหร่ อย่าง The Polar Express หรือ Beowulf อะไรเหล่านี้เป็นต้น แต่งานคนแสดงของเขาผมยังชอบอยู่ครับ แล้วก็แน่นอนว่าผมก็ชอบเรื่อง Here นี่ด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ความชอบก็อาจยังไม่ขัดๆ ติดๆ อยู่บ้าง ยังไม่สุดแบบหนังสมัยก่อนเก่าของเขา
แต่ที่แน่ๆ คือผมเห็นใจเขามากครับ เพราะหนังเรื่องนี้ทำเงินไปแค่ $15 ล้านจากทั่วโลก – นี่คือทั่วโลกแล้วนะ ได้แค่ $15 ล้าน – ผมว่ามันโหดร้ายเกินไปนะ ถ้าถามว่าเจ๊งไหมก็เจ๊งแน่นอนครับ เพราะหนังลงทุนไป $45 ล้าน แล้วก็พอเข้าใจครับว่าหนังอาจไม่ได้ดีเลิศเข้าขั้นสุดยอด แต่รายได้แค่นี้มันโหดไป ซึ่งไว้ว่างๆ ผมก็จะดูซ้ำอีกนั่นแหละ เพิ่มยอดให้แกหน่อย – เห็นใจน่ะครับ เพราะติดตามกันมานาน แม้หนังจะไม่ได้ดีเลิศ แต่ก็ไม่น่าจะทำเงินน้อยซะขนาดนี้
จำได้ว่า Hanks ยังเคยออกมาบ่นน่ะครับว่าหนังได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบมากเกินไป ซึ่งผมเห็นด้วยนะ คือหนังอาจไม่ได้ดีมากๆ แต่ก็ห่างไกลจากคำว่าแย่น่ะครับ ห่างไกลเอาเรื่องเลยล่ะ
อย่างหนึ่งที่ผมบอกได้หลังดูจบก็คือ ผมมีความสุขครับ สุขใจที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ มันอาจไม่ได้ทำให้ผมรักมากเท่า Forrest Gump นะ แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในหนังที่ผมเต็มใจที่จะดูซ้ำ แม้จะไม่ถึงกับชอบสุดๆ และมีหลายช่วงเหมือนกันที่อยากให้หนังไปสุดกว่านี้ หรือมีการเขียนบทที่ลงลึกคมเข้มกว่านี้ แต่กระนั้นหนังก็มีหลายช่วงเหมือนกันที่โดนใจ – ช่วงไหนบ้างก็อย่างที่เล่าไปคร่าวๆ นั่นแหละครับ
และอีกช่วงที่ชอบ เพราะประเด็นนี้อยู่ในหัวผมมานานแล้ว คือ “เวลาผ่านไปไว จะทำอะไรก็อย่าเดี๋ยว” เหมือนที่มาร์กาเร็ตพูดน่ะครับว่าตอนเราอายุ 30 เราอาจคิดว่าอายุ 50 น่ะมันอีกไกล ไม่ต้องกังวลมาก แต่พอรู้ตัวอีกที เธอก็อายุ 50 แล้ว และหลายอย่างที่เธออยากทำก็ยังไม่ได้ทำ
สำหรับคนที่เคยผ่านมาแล้ว คงตระหนักดีครับ ว่าระยะห่างระหว่างอายุ 30 กับ 50 นั้น มันคือชั่วพริบตาจริงๆ…
อีกอย่างที่ควรเน้นไว้ตัวโตๆ เลยก็คือ “ชีวิตมันไม่สมหวังดั่งใจไปทั้งหมดหรอกนะ” ทำใจรับซะ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม
และการดูหนังเรื่องนี้ทำให้ตระหนักนะครับ ว่าสิ่งที่เราพบเจอในตอนนี้ สักวันมันก็จะเป็นอดีต และตัวเรานี้ที่เราแสนจะให้ความสำคัญ สักวันก็จะเป็นภาพซีเปียสีจางๆ ที่จะหายไปตามกาลเวลา… นึกถึงตรงนี้แล้วทำไมอยากหัวเราะดังๆ สักครั้งก็ไม่รู้ ^_^
สรุปคืออยากให้ลองดูสักครั้งครับ ได้โปรดอย่าเพิ่งด่วนเมินหนังเรื่องนี้เร็วเกินไปนัก ให้โอกาสหนังเรื่องนี้สักหน่อย สัก 10 นาทีก็ยังดี ถ้าไม่ชอบก็แค่หยุดแล้วไปดูเรื่องอื่นครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)














