Action

The Last Man (2019) อุบัติการณ์วันสิ้นโลก

การดูหนังเรื่องนี้ ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศหนึ่งเมื่อวันวานขึ้นมาได้ครับ

สมัยก่อนตอนวีดีโอยังเรืองอำนาจ มันก็จะมีค่ายวีดีโอใหญ่ๆ เล็กๆ ผสมปนเปกันไป ค่ายใหญ่หน่อยก็คือ CVD รองลงมาก็ Right Pictures, World Pictures แล้วที่จำได้ก็มีอย่าง ST Video, เรนโบว์ซีน, VRC, โอเรียนเต็ลวีดีโอ ฯลฯ

พอมานั่งนึกดู ผมก็พบว่าเวลาจะดูหนังจากแต่ละค่ายนั้น ผมก็จะเหมือนมีการ “ตั้งโหมดตัวเองก่อนดู” เช่นถ้าจะดูของ CVD ก็จะตั้งตัวเองเป็นโหมด CVD ครั้นพอจะดูของ Right ก็จะบอกตัวเองให้เปิดโหมด Right – ประมาณว่าเหมือนรู้ทางน่ะครับ ว่าถ้าเป็นหนัง CVD หน้าหนังสไตล์หนังมันก็จะประมาณนี้ ดังนั้นถ้าดูด้วยโหมด CVD มันจะจูนอะไรๆ ได้ง่ายหน่อย แต่ถ้าจะดูหนังของ Right แล้วเราดันไปดูด้วยโหมด CVD บางทีก็อาจรู้สึกผิดที่ผิดทาง อาจจะจูนกับหนังไม่ติด อะไรประมาณนั้น

แล้วการดูหนังเรื่องนี้มันก็ทำให้ผมนึกถึงประเด็นนี้ขึ้นมาครับ ว่าจริงๆ ทุกวันนี้ผมก็ยังคงเป็นแบบนั้นน่ะแหละ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่แต่ผมก็จะปรับโหมดตัวเองก่อนดูหนังแต่ละเรื่อง หรือบางทีถ้าระหว่างดูแล้วตระหนักว่าตัวเองกำลังเปิดผิดโหมด หัวมันก็จะปรับโหมดอัตโนมัติทำให้กลับมาโอเคกับหนังได้ แม้ว่าหนังเรื่องนั้นอาจดูเห่ยในสายตาของใครๆ ก็เถอะ

วิธีนี้ทำให้ดูหนังได้หลายแนว และดูได้สนุกขึ้น – แต่ก็ยอมรับครับว่าบางเรื่องไม่ว่าจะเปิดกี่โหมดมันก็ไม่มันส์ พยายามทำใจแค่ไหนมันก็ไม่ไหวจริงๆ 5555

ที่ร่ายมายาวนี่ก็เพราะหนังเรื่องนี้จริงๆ มันก็ไม่ได้ดีเด่เจ๋งเป้งอะไรครับ แต่โทนหนัง พล็อตหนัง สไตล์หนังมันทำให้ผมนึกถึงหนังของ Right Pictures สมัยก่อนที่มักจะว่าด้วยโลกอนาคต โลกที่กำลังจะล่มสลาย แล้วพระเอกก็ต้องฝ่าฟันเรื่องราวสารพัดเพื่อเอาตัวรอด แต่ฟอร์มหนังจะเล็กๆ ไม่อลังการอะไร

พล็อตเรื่องของหนังว่าด้วยโลกที่เกิดภัยธรรมชาติ เกิดวิกฤตฺเศรษฐกิจ เกิดสงครามจนสภาพสังคมวุ่นวายปั่นป่วน ผู้คนอยู่กันด้วยความหวาดกลัว มีคนตั้งตนเป็นศาสดาพยากรณ์ ทำตัวเสมือนเจ้าลัทธิคอยเป็นความหวังให้กับผู้คน ส่วนบางกลุ่ก็รวมตัวกันเป็นแก๊ง ก่อการปล้นชิงฆ่า ทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด

ส่วนตัวเอกคือ เคิร์ต แมตทิสัน (Hayden Christensen) อดีตนักรบผู้มีแผลจากอดีต เขาเห็นภาพหลอนและยังคงเจ็บปวดจากเรื่องตอนออกรบ โดยเรื่องราวในหนังเราก็จะได้เห็นเขาใช้ชีวิต เห็นเขาสร้างบังเกอร์เพื่อเตรียมรับวันสิ้นโลก เห็นเขาทำความรู้จักกับ โนเอ (Harvey Keitel) ผู้พยากรณ์วันโลกาวินาศ และได้เจอสาวสวยอย่างเจสสิก้า (Liz Solari) ผุ้กุมหัวใจเขา

คือหนังมันก็ดำเนินไปเรื่อยๆ น่ะครับ บอกเลยว่าไม่ใช่แนวแอ็คชั่น พระเอกของเราก็ไม่ได้มีเป้าหมายไปถล่มทลายใคร หลักๆ คือใช้ชีวิต เอาตัวรอด ซึ่งว่าตามจริงหนังมันก็ดูน่าเบื่ออยู่ครับ แต่สำหรับผมแล้ว อาจเพราะเคยดูหนังแนวนี้มาเยอะ มันเลยพอจะจับทางได้ว่าหนังพยายามเน้นเรื่องอะไร – หลักๆ คือเน้นให้เราเห็นการดำเนินชีวิตของเคิร์ต เห็นยามที่เขาต้องทุกข์ทรมานจากอาหารหลอน แล้วก็เห็นปฏิสัมพันธ์ที่เขามีต่อคนอื่นๆ

ผมไม่ได้บอกว่าหนังสนุกครับ และจริงๆ ก็คือไม่ได้แนะนำว่าหนังต้องดูด้วย แต่ส่วนตัวผมเองนั้นถือว่าดูได้แบบเรื่อยๆ อย่างน้อย Christensen กับ Keitel ก็เล่นได้ดี แล้วอย่างน้อยหนังก็มีประเด็นสะท้อนให้เห็นภาพของโลกที่แหลกสลายอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ ที่ส่วนใหญ่เลยก็เกิดเพราะมือของมนุษย์

ผมชอบประโยคนี้ที่เคิร์ตพูดว่า “มีบางอย่างผิดปกติ แต่เราไม่ได้ใส่ใจ พวกเราพอใจมากไป พวกเราอ้วน มีความสุข ตาดูทีวีกับมือถือ เราไม่ทันสังเกต จนสายเกินไป…” ซึ่งมันเป็นอะไรที่ตรงกับโลกความจริงทุกวันนี้อย่างยิ่ง

แต่ก็นั่นล่ะครับ หนังมันไม่ถึงกับดีเด่อะไร ตรงการเล่าเรื่องจริงๆ มันก็ยังไม่ชวนติดตาม ไม่ได้มีปมหรืออะไรมาดึงความสนใจคนดู เหมือนหนังเดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ซึ่งก็ไม่เถียงครับว่าหนังมันก็สะท้อนโลกได้เจ็บแสบพอตัว – ไม่ว่าจะประเด็นทื่มนุษย์ไม่สนใจจะแก้ปัญหาเลย จนโลกเกินเยียวยา หรือประเด็นที่มีคนมาหากินกับความเชื่อในยุคสมัยที่โลกเกิดวิกฤติ – แต่เมื่อหนังมันยังไม่สนุกก็คงต้องว่าไปตามนั้น

ก็แล้วแต่นะครับ หากท่านอ่านถึงตรงนี้แล้วรู้สึกสนใจก็ลองลิ้มดูได้ สำหรับผมหนังไม่ได้เลวร้าย – แต่สำหรับบางคนมันอาจน่าเบื่อขนานหนัก – และว่าตามจริงก็คือ หนังยังดีกว่านี้ได้อีกเยอะ ซึ่งถ้าหนังทำออกมาดีๆ เกลาโน่นเกลานี่ให้ดีๆ หนังจะมีความน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

ดาวครึ่งครับ

(5/10)