แล้วก็มีตามมาอีกภาคจนได้ครับ คราวนี้ก็สร้างโดยทีมงานจากฮ่องกงตามเคย ผมเลยอยากจะแยกหนังชุดเทวดาท่าจะบ๊องส์นี่ออกเป็น 2 ชุดนะ ชุดแรกก็คือ 2 ภาคแรกที่สร้างโดย Jamie Uys สไตล์ก็จะเป็นอีกแบบ ส่วนชุดหลังที่บ้านเราเรียกว่าเป็นภาคพิสดารนี่ก็ให้อารมณ์ขำขันแบบหนังฮ่องกง นี่ก็จะไปอีกทางหนึ่ง
หนนี้นิเชาของเราได้เจอกับ เชอร์ลี่ย์ (หลิวเจียหลิง, Carina Lau) นักธุรกิจสาวที่ไปถ่ายทำโฆษณาที่แอฟริกาใต้ แล้วพอดีเธอทำการเล่นกลโดยจับเอานกน้อยไปใส่ไว้ในขวดแก้วครับ ซึ่งเชอร์ลี่ย์ก็ไม่คิดอะไร คิดว่าทำอะไรสนุกๆ ให้ชาวป่าดู แต่สำหรับนิเชาและคนในเผ่าแล้ว พวกเขารู้สึกสงสารเจ้านกที่โดนขังอยู่ในขวดครับ นิเชาเลยตัดสินใจวิ่งตามเชอร์ลี่ย์ไป เพื่อที่จะให้เธอช่วยนำนกออกจากขวด
แต่จับพลัดจับผลู นิเชาดันติดสอยขึ้นเครื่องบินไปจนมาโผล่ที่ฮ่องกง เอาล่ะสิครับ งานนี้ฮ่องกงได้ป่วนเพราะนายนิเชาคนซื่อคนนี้แหงมๆ
เอาจริงๆ เลยนะครับ ผมชอบโครงสร้างของหนังภาคนี้นะ คือมันเป็นสูตรที่ค่อนข้างคุ้นเคยสำหรับหนังยุค 80 – 90 นั่นคือการที่ตัวละครจากแดนไกลที่ไหนสักแห่งเดินทางเข้าเมืองใหญ่อันศิวิไลซ์และทันสมัย แล้วความซื่อของเขาก็ไปสร้างความปั่นป่วนให้ชาวเมือง แต่ขณะเดียวกันความซื่อของเขานี่แหละก็ทำให้คนเมืองบางคนตระหนักถึงคุณค่าของความจริงใจ คุณค่าของเพื่อนมนุษย์ หรือคุณค่าที่พวกเขาอาจจะมองข้ามไปเพราะโดนแสงสีของเมืองใหญ่บดบังสายตา
คือโครงสร้างมันได้ครับ สามารถนำพาหนังไปสู่ความเป็นหนังฮาแฝงสาระได้ และในเรื่องนี่ดาราก็เล่นกันได้ดี อย่างนิเชานี่นอนมาอยู่แล้ว บทคนป่าแสนซื่อหน้ายู่นี่ต้องยกให้เขา ผมพบว่าหลายฉากเลยที่นิเชาสามารถสร้างอารมณ์ชวนซึ้งหรืออารมณ์ชวนประทับใจได้ ทั้งๆ ที่หน้าของเขาก็ยังทรงเดิมนั่นแหละ ถึงขั้นว่าภรรยาของผมยังออกปากชมเลยว่านิเชานี่เก่งนะ คือความเป็นเขามันสามารถเข้ากับหลายๆ จังหวะของหนังได้ดีกว่าที่คาดคิด
ส่วนดาราหน้าคุ้นอย่าง หลิวเจียหลิง, เยี่ยถง, หลิวชิงหวิน และหลอหลัน แต่ละคนนี่ก็ระดับมืออาชีพอยู่แล้ว พวกเขาสามารถแสดงบทที่ตัวเองได้รับอย่างพอเหมาะ หรือตัวพล็อตเองมันก็เอื้อให้เกิดเรื่องดีๆ และความประทับใจนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เชอร์ลี่ย์ต้องเลือกระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว หรือวินนี่ (เยี่ยถง) ที่มีปัญหาเรื่องความรักอยู่เนืองๆ คือหลายอย่างมันพร้อมน่ะครับ มันพร้อมที่จะทำให้หนังทั้งดูสนุกและได้สาระดีๆ
แต่กลายเป็นว่าจังหวะการเล่าเรื่องมันยังไม่ลงล็อคนัก มันเหมือนเล่าไปเรื่อยๆ เล่าไปตามบท นักแสดงก็เล่นไปตามบท แต่ไม่ได้มีลูกเล่นที่ช่วยดึงให้เรื่องราวมันน่าสนใจ ว่าง่ายๆ คือหนังค่อนข้างชืดและธรรมดาน่ะครับ ทั้งที่จริงๆ แล้วพล็อตนี่ถือว่าเล่นอะไรได้มากกว่าภาคที่แล้วอีกนะ แต่กลายเป็นว่าภาคที่แล้วที่ดูไม่มีอะไร มันยังฮาได้เรื่อยๆ แต่กับภาคนี้หนังมันดูมีอะไร แต่ความน่าสนใจไม่มาก ความฮาก็กลางๆ
สำหรับผม ภาคนี้จัดว่าน่าเสียดายอยู่ครับ เพราะมันชวนให้นึกถึงหนังอย่างบุญชูหรือ Crocodile Dundee ที่คนซื่อเข้ากรุงแล้วก็มากระตุกต่อมคนเมือง หลายช่วงนี่ถ้าขยี้เหมาะๆ ผมว่าหนังจะซึ้งได้เลยนะ และซึ้งได้มากกว่าหนึ่งรอบด้วย อีกทั้งหนังยังสามารถเล่นประเด็นอย่าง “คนในเมืองที่เต็มไปดวยความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ แต่กลับยังสับสนในการดำเนินชีวิต ยังมีคำถามในการเลือกทางเดิน ในขณะที่คนป่าที่หลายคนอาจนิยามว่าด้อยพัฒนาแบบนิเชา กลับสามารถใช้ชีวิตได้แบบเรื่อยๆ เรียบง่าย สามารถอยู่บนโลกได้โดยที่ไม่ต้องแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่า”
สรุปว่าผมนี่ดูเพราะนิเชาเลยครับผม ตามมาดูเพราะเขานี่แหละ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังนะ เพราะนิเชาก็ยังคงเป็นนิเชา เป็นคนป่าผู้น่ารัก แสนซื่อ และจริงใจ
ดาวครึ่งครับ
(5/10)
ชื่ออื่นๆ
The Gods Must Be Crazy IV
หมวดหมู่:Adventure, Chinese/Hong Kong/Taiwan Movies, Comedy, Movie Reviews












