Chinese/Hong Kong/Taiwan Movies

พรุ่งนี้ฉันจะเลิกขายตัว (1985) My Name Ain’t Suzie

เป็นอีกหนึ่งหนังที่ผมคาดการณ์ผิดไปครับ ตอนแรกนึกว่าจะมาในแนวดราม่าประเภทตัวละครแรงๆ มาร้ายใส่กัน แต่ไปๆ มาๆ หนังดันเข้าข่าย “บอกเล่าช่วงหนึ่งของชีวิตคน” แบบที่ผมชอบไปซะงั้น

เปิดมาหนังก็พาเราไปยังย่านหว่านไจ๋ ตอนประมาณยุค 80 เล่าถึงเถ้าแก่ร้านอาหารที่บอกให้ลูกน้องเอาอาหารไปส่งยังห้องในตึกโทรมๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งปลายทางที่รอรับอาหารนั้นคือผู้หญิงท่าทางน่ากลัวที่ทำเอาเด็กเสิร์ฟคนนั้นขนลุก เขาเลยมาเล่าให้เถ้าแก่ฟัง พร้อมถามว่าทำไมเถ้าแก่ต้องให้เอาอาหารไปส่งที่ห้องนั้นทุกวันๆ ด้วย

เถ้าแก่ก็เลยเล่าครับ โดยย้อนไปยังยุค 50 สมัยที่ย่านหว่านไจ๋ครึกครื้นเต็มไปด้วยทหารฝรั่งที่เข้ามาหาความสำราญในเมือง โดยสถานเริงรมย์ที่ขึ้นชื่อในย่านนั้นก็คือลัคกี้บาร์ ที่ดูแลโดยเจ๊เมิ่งลู่ (ติงเพ่ย, Betty Ting Pei) ส่วนตัวเอกของเรานั้นก็คือ ไลสุยเหว่ย (เซี่ยเหวินซี, Patricia Ha) สาวชาวบ้านจากย่านชาวประมงที่ถูกเลือกให้มาทำงานในบาร์ คอยบริการทหารกลัดมันทั้งหลาย และเรื่องราวที่เราจะได้รับรู้นั้น ก็คือเรื่องของเธอตั้งแต่วันแรกๆ ที่มาทำงานที่นี่ ยาวมาถึงว่าทำไมเธอถึงลงเอยอยู่ในห้องเล็กๆ บนตึกโทรมๆ แห่งนั้น

เหตุผลหนึ่งที่ผมดูหนังเรื่องนี้ก็เพราะนี่เป็นงานแสดงชิ้นแรกของ หวงซิวเซิน (Anthony Wong) คุณพี่ซาลาเปาเนื้อคนที่หลายคนจดจำ โดยเรื่องนี้เขามาเป็นจิมมี่ ลูกชายของหญิงบริการนางหนึ่งที่ตายจากไป แล้วเขาก็ถูกดูแลโดย เซียวหลิงยี่ (แองเจล่า หยูซิน, Angela Yu Chien) สาวใหญ่ที่จัดจ้านในย่านนั้น โดยเขามีความตั้งใจที่จะตามหาพ่อที่เป็นทหารฝรั่งให้พบ และระหว่างนั้นเขาก็เหมือนจะกิ๊กๆ กับสุยเหว่ยอยู่ในที

เรายังจะได้เจอกับ เยี่ยเต๋อเสียน (Deannie Ip) ในบทเจ๊หวังยิง สาวแกร่งที่สุยเหว่ยไปพึงใบบุญในตอนหลังๆ และ ชาร์ลี เฉา (Charlie Cho) ก็โผล่มาแป๊บนึง เป็นแขกในบาร์ของสุยเหว่ยครับ (คนที่เอาเบียร์เทใส่รองเท้านั่นแหละ)

สำหรับผมแล้ว ถ้าพูดถึงหนังแนว “บอกเล่าช่วงหนึ่งของชีวิตใครสักคน” แล้วเป็นหนังย้อนไปยังยุคสมัยเก่าๆ เนี่ย สิ่งสำคัญเลยคือเพลงครับ ถ้าคนทำทำถึงก็จะหยิบจับเอาเพลงยุคนั้นๆ มาใส่ และหนังเรื่องนี้ก็ทำได้ครับ ท่านจะได้ยินเพลงยุค 50 – 60 แล้วไหนจะดนตรีของ Shing Chin Yung และ Su Chen Hou ที่มาพร้อมท่วงทำนองเหมาะๆ ตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง เหล่านี้ช่วยกันเสริมบรรยากาศให้หนังได้อย่างดี

ของดีต่อมาคือการแสดงครับ เซี่ยเหวินซี แสดงได้ดี สามารถทำให้เรารู้จักตัวละครของเธอในหลายแง่มุม และเธอทำให้เรารู้สึกผูกพันไปกับตัวละครนี้ บางจังหวะก็ทำให้เราเห็นใจ หรือบางจังหวะก็ทำให้เราตระหนักถึงคำกล่าวที่ว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” เพราะบางสิ่งก็เป็นการเลือกของเธอเอง ซึ่งในมุมหนึ่งก็พอเข้าใจครับ ผู้หญิงหลายคนในยุคนั้น (หรือแม้แต่ยุคนี้ก็ตาม) อาจไม่ได้มีทางเลือกมากนัก หรือสภาพแวดล้อมก็อาจไม่ได้ชี้ช่องให้เธอเห็นถึงทางเลือกอื่นๆ มากนัก เธอเลยจำต้องเลือกเส้นทางเหล่านี้ – หนังอาจไม่ได้เล่าเรื่องของหญิงบริการแบบลงลึก แต่ถือว่าทำให้เราเห็นภาพได้ในระดับหนึ่งครับ

หวงซิวเซิน ก็ดูหล่ออยู่นะครับ สมัยนั้นเขาดูเท่ห์แบบร้ายๆ ถือว่าเหมาะกับบทมาก อีกคนที่เข้าตาก็คือ เยี่ยเต๋อเสียน ที่ดูเป็นเจ๊ผู้ทรนงได้อย่างสมบท จนไม่แปลกใจที่เวที Hong Kong Film Awards จะมอบรางวัลสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมให้เธอไปครองในปีนั้น

แม้จังหวะการเล่าเรื่องในบางช่วง หรือการบิ้วอารมณ์ที่อาจยังไม่สุดมากนัก แต่โดยรวมก็ถือว่าโอเคครับ อย่างน้อยผมก็เพลินไปกับการรับชม รู้สึกอยากติดตามไปจนจบ แต่ก็บอกได้ว่าถ้าท่านชอบหนังแนวนี้ ผมก็อยากแนะนำเรื่อง “นางสาวกำไก่” (Golden Chicken) ครับ ส่วนตัวแล้วผมจะชอบเรื่องนั้นมากกว่า เพราะทำได้ครบเครื่องและถึงเครื่องมากกว่า

สรุปคือถือเป็นหนังชีวิตที่ทำออกมาได้เข้าท่าครับ ใครชอบแนวนี้ก็อยากให้ลองสักครั้งครา เชื่อว่าท่านจะโอเคกับหนังไม่มากก็น้อยครับ

สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)