Action

Red Dawn (1984) หน่วยรบวัยรุ่น

หนังแอ็คชั่นเมื่อวันวานที่จัดว่าดังไปพอตัวครับ ส่วนหนึ่งก็คงเพราะพล็อตที่ว่าด้วย “สงครามโลกครั้งที่ 3” ซึ่งก็เรียกความสนใจจากผู้คนได้ไม่น้อย

หนังเล่าไปไม่กี่นาทีก็เข้าเรื่องเลยครับ เปิดมาก็ฉายให้เราเห็นถึงเหตุการณ์ในเมืองคาลูเมต รัฐโคโลราโด ที่นักเรียนกำลังเรียนอยู่ดีๆ แต่ก็จู่ก็มีทหารโซเวียตบุกเข้ามาฆ่าคนมากมาย บางคนก็โดนจับเป็นเชลย แต่ก็มีเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งนำโดย เจด เอคเกิร์ต (Patrick Swayze) กับน้องชาย (Charlie Sheen) และพวกพ้องพากันขับรถหลับหนีออกมานอกเมือง

แล้วพวกเขาก็รวมพลังกันทำหน้าที่เป็นหน่วยต่อต้าน คอยสู้กับพวกโซเวียตที่จับพ่อแม่ของพวกเขาเอาไว้ ซึ่งก็แน่นอนว่าระหว่างทางก็ย่อมมีคนต้องเสียสละชีวิตให้กับสงครามครั้งนี้

สิ่งแรกที่ถือว่าถึงฟอร์มก็คือฉากระเบิดตูมตามต่างๆ ที่มีตลอดเรื่อง ซึ่งทีมงานออกมาบอกเลยครับว่าทุกฉากที่เห็นนั้นล้้วนเป็นของจริง ระเบิดจริง ไม่ได้ใช่ CG ไม่ได้ใช้กระทั่งแบบจำลองย่อส่วน ทุกอย่างถูกสร้างให้มีขนาดเท่าของจริงทั้งหมด ซึ่งผมถือว่าเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของหนังเลยนะ มันดูสมจริงก็เพราะใช้ของจริง เลยทำให้ตอนเห็นภาพการทำลายล้างต่างๆ มันเลยค่อนข้างถึงใจ

ว่ากันตรงๆ นี่คือหนังสงครามครับ แม้หน้าหนังจะชวนให้คิดว่าเป็นหนังแอ็คชั่นวัยรุ่นก็ตาม คือวัยรุ่นเป็นตัวนำน่ะใช่ครับ แต่สถานการณ์ต่างๆ มันคือสงครามจริงๆ มีฝ่ายผู้รุกรานและผู้ถูกรุกราน มีการฆ่าฟันล้างผลาญทำลายล้าง ซึ่งหนังก็สื่อภาพความโกลาหลออกมาได้ดี คิดดูครับหากเป็นท่านที่กำลังนั่งเรียนอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ ก็มีทหารจากฝ่ายตรงข้ามบุกมาถล่มโรงเรียน มาไล่ยิงแบบไม่สนเด็กสนผู้ใหญ่ สำหรับผมมันคือภาพที่ชวนให้ขนหัวลุกไม่ใช่น้อยเลยล่ะ

ช่วงต้นๆ ตอนเหล่าตัวละครวัยรุ่นออกไปหลบตั้งหลักนั้นก็อาจยังไม่ค่อยมีอะไรครับ แต่ความสนุกตื่นเต้นแบบจริงๆ จังๆ จะเริ่มราวๆ นาทีที่ 48 เมื่อการต่อสู้ที่แท้จริงเริ่มต้นขึ้น ซึ่งในแง่หนึ่งหนังก็บอกเล่าออกมาได้ไม่เลวครับ แต่กระนั้นมันก็อาจมีเอ๊ะบ้าง หรือรู้สึกว่ามันไม่สมจริงไปบ้างในบางตอน อย่างการที่เหล่าวัยรุ่นสามารถไปเยี่ยมพ่อถึงที่จองจำได้โดยไม่มีใครมาขับไล่ขัดขวาง หรือการที่พวกวัยรุ่นสามารถตั้งหลักหลบซ่อนอยู่ได้นานสองนานโดยที่พวกทหารฝ่ายตรงข้ามไม่พยายามกวาดล้างตั้งแต่ต้น อันนี้ถ้ามองว่าเป็นสงครามจริงๆ ก็อาจชวนให้เอ๊ะอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน

ถ้าว่าก็โดยรวม หนังก็ถือว่าทำได้โอเคในระดับหนึ่งครับ อาจไม่ถึงกับสุดยอดน่ะนะครับ แต่ก็ฉษยภาพความเลวร้ายของสงครามได้ดี ซึ่งนั่นเป็นเจตนาหลักในการทำหนังเรื่องนี้ของผู้กำกับ John Milius ครับ คือเขาอยากฉายภาพความไร้ประโยชน์ของสงคราม สะท้อนให้เราเห็นว่ามันมีแต่ความสูญเสียด้วยกันในทุกๆ ฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะก็ตาม แต่ยังไงมันก็ต้องสูญเสีย มีบาดแผลและความเจ็บช้ำเกิดขึ้นด้วยกันทั้งนั้น

หรือถ้าให้พูดตรงๆ คือแพ้ทั้งคู่นั่นแหละครับ แต่จะยอมรับความจริงอันนี้กันไหม จะมองในมุมนี้กันไหมก็ว่ากันไป

และอีกอย่างที่หนังสะท้อนได้ชวนเจ็บแสบคือเรื่องของ “นักการเมือง” ครับ ประมาณว่าคนเป็นนักการเมืองหลายคนมักจะเก่งในเรื่องการเอาตัวรอด พอถึงเวลาจำเป็นก็พร้อมปรับตัวเข้าได้กับทุกฝ่าย ดีลได้กับทุกคน ทำยังไงก็ได้เพื่อให้ตัวเองรอดอยู่ให้นานที่สุด – ก็ถือว่าเป็นการ “เอาความจริงมาพูดเล่น” ได้ไม่เลวทีเดียว

หนังเรื่องนี้ได้รับการบันทึกจาก Guinness Book of Records ว่าเป็นหนังที่มีฉากรุนแรงมากที่สุด (ณ ขณะนั้น) โดยเฉลี่ยเราจะได้เห็นฉากความรุนแรงราวๆ 2.23 ครั้งต่อ 1 นาทีครับ

เกร็ดที่อยากนำมาบอกก็คือ ตอนแรกคนที่จะมาแสดงเป็นเจดนั้นก็คือ Emilio Estevez ครับ แต่พอดีพี่ท่านติดงานหนังเรื่องอื่น Swayze เลยมารับบทแทน และว่ากันว่าระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ Swayze อยู่ในบทเจดตลอดเวลาเลยครับ กล่าวคือไม่ว่าจะตอนถ่ายหรือไม่ถ่ายทำ พี่ท่านก็กลายเป็นเจดแบบเต็มตัวไปเรียบร้อย เรียกว่าอินกับบทขั้นสุดเลยทีเดียว

จริงๆ หนังมีพล็อตส่วนที่เป็นเรื่องความรักระหว่างเจดกับโทนี่ (Jennifer Grey) และนายทหารแอนดรูว์ แทนเนอร์ (Powers Boothe) กับเอริก้า (Lea Thompson) มากกว่าที่เราเห็นครับ แต่บทส่วนนี้ก็ถูกตัดออกไปเพราะมันดูจะไม่เข้ากับธีมสงครามของหนังสักเท่าไร – แต่สุดท้ายแล้ว Sawyze กับ Grey ก็ได้แสดงเป็นคนรักกันใน Dirty Dancing ครับ

นี่ยังเป็นการแสดงหนังจอใหญ่แบบเต็มตัวเรื่องแรกของ Charlie Sheen ครับ นอกจากนี้ Lea Thompson ยังเคยบอกว่าช่วงเวลาที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้คือหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอครับ

และหนังเรื่องนี้คืองานเขียนบทหนังใหญ่ชิ้นแรกของ Kevin Reynolds ที่ในเวลาต่อมาจะได้เป็นผู้กำกับ Robin Hood: Prince of Thieves, Waterworld และ The Count of Monte Cristo ครับ

ตัวหนังทำเงินไปราวๆ $38 ฃ้าน จากทุนสร้าง %17 ล้าน ก็ถือว่าคุ้มทุนอยู่ครับ

สรุปว่าหนังดูได้ครับ อาจไม่มันส์ขั้นสุดแต่ถือว่าโอเคครับ ในฐานะหนังที่สะท้อนความโหดร้ายของสงคราม…

ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไรมนุษยชาติจะตระหนักถึงเรื่องนี้ได้แบบจริงๆ จังๆ สักที

สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)