Biography

Saturday Night (2024) แซทเทอร์เดย์ ไนท์

อีกหนึ่งหนังที่บอกได้เลยว่า “ไม่ใช่สำหรับทุกคน” ครับ อย่างผมนี่ชอบนะ แต่ภรรยาผมดูแล้วงงว่านี่มันหนังอะไร ภาพที่เห็นบนจอก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มีคนเดินผ่านไปมาคุยกันตลอดเรื่อง จนเธอถามผมว่านี่มันหนังเกี่ยวกับอะไรกันแน่นี่

นี่คือหนังที่สร้างจากเรื่องจริงของรายการ Saturday Night Live ครับ ซึ่งนี่คือรายการแนววาไรตี้โชว์ที่จะมีสารพัดดาราผลัดเปลี่ยนกันมาเล่นมุกสั้นๆ บ้าง หรือไม่ก็ร้องเพลงบ้าง เรียกว่าเป็นรายการที่สดใหม่และแปลกมากสำหรับตอนนั้น ซึ่งรายการนี้ปัจจุบันก็ยังฉายอยู่ครับ นับไปนับมาก็ร่วม 50 ปีเข้าไปแล้ว

รายการนี้คือที่แจ้งเกิดของดาราตลกระดับตำนานของอเมริกา ไม่ว่าจะ Dan Aykroyd, John Belushi, Chevy Chase, Eddie Murphy, Bill Murray, Billy Crystal, Martin Short, Chris Farley, Adam Sandler, Rob Schneider, David Spade และ Chris Rock เป็นต้น

และสิ่งที่หนังเรื่องนี้นำเสนอคือเหตุการณ์ในวันแรกของรายการครับ ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความไม่พร้อม เพราะผู้สร้างอย่างลอร์น ไมเคิลส์ (Gabriel LaBelle) ตอนนั้นก็ยังมือใหม่ ดังนั้นการดำเนินรายการในวันแรกคือโคตรแห่งวันหายนะ ทีมงานบางคนก็เก่าจนเก๋าจนคิดมาลองของกับมือใหม่อย่างเขา หรือบางคนก็ใหม่แบบสดวิงจนทำอะไรไม่เป็นเลย และดาราที่จะมาร่วมจอในตอนนั้นก็บ้างก็ยังใหม่ บ้างก็แปลกๆ (จริงๆ ผมว่าแปลกทั้งหมดนั่นแหละครับ 555) บ้างก็ไม่ถูกกัน (อย่างเชฟวี่ เชสกับจอห์น เบลูชี่เป็นต้น) ไหนจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบบทซึ่งพยายามเซ็นเซอร์ทุกคำหยาบ – แต่ปัญหาคือ นั่นมันคือมุกเด็ดๆ ทั้งนั้นครับ ดังนั้นถ้าเซ็นเซอร์หมด รายการก็จะแทบไม่เหลืออะไรเลย

หนังเขียนบทโดย Gil Kenan และ Jason Reitman โดย Reitman ก็ควบเก้าอี้กำกับด้วย ซึ่งเรื่องที่พวกเขาเขียนนั้นส่วนใหญ่ก็อ้างอิงมาจากเรื่องราวในวันนั้นจริงๆ หรือบางเรื่องก็เป็น “ตำนานที่เขาเล่าว่า” มันเกิดขึ้นในคืนวันที่ 11 ตุลาคม ปี 1975

ผมดูแล้วก็รู้สึกว่าหนังมันดูว้าวุ่น ดูวุ่นวายจริงๆ นั่นแหละครับ จนผมจะไม่แปลกใจเลยหากคนที่ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับรายการนี้มาก่อนจะโคตรงงระหว่างดู เพราะหนังไม่มีการปูพื้นหรือแนะนำอะไร ประมาณว่าพอเข้าฉากแรกหนังก็ยิงยาวเลย ดังนั้นคนที่จะดูหนังเรื่องนี้สนุกก็จะต้องพอรู้ครับว่ารายการ Saturday Night Live คืออะไร และสิ่งที่ต้องรู้ต่อมาคือ ตัวละครที่เราเห็นเดินกันให้ควั่กในเรื่องน่ะ เขาคือใครบ้าง ซึ่งผมก็ขอเล่าคร่าวๆ นะนะครับ ว่าตัวเอกตัวหลักของเรื่องก็คือ ลอร์น ไมเคิลส์ ส่วนดาราคนที่พูดเก่งๆ พูดจนเหล่านักธุรกิจนักลงทุนที่แวะมาดูให้ความสนใจและพากันชื่นชม รายนั้นคือ เชฟวี่ เชส (Cory Michael Smith) ที่ในเวลาต่อมาก็ดังและมีหนังออกมาเยอะพอสมควร

ส่วนรายที่ดูเจี๋ยมเจี้ยมหน่อย แล้วก็ดูขวยๆ เขินๆ ตอนร่วมแสดงมุกตลกกับสาวๆ รายนั้นคือ แดน แอครอยด์ (Dylan O’Brien) ที่ในเวลาต่อมาจะดังสุดๆ ในบท เรย์ แห่ง บริษัทกำจัดผี – Ghostbusters, ส่วนรายที่อ้วนๆ ผมหยิกๆ ฟูๆ ดูเมาๆ แล้วก็ดูตาขวางไม่ค่อยเข้ากับใครเท่าไร เขาคือ จอห์น เบลูชี่ (Matt Wood) ที่ในเวลาต่อมาจะดังสนั่นอเมริกาไปกับหนังอย่าง National Lampoon’s Animal House และมาประกบคู่ดังร่วมกับแอครอยด์ใน The Blues Brothers ซึ่งตัวละครนี้ก็มีจุดเริ่มจากรายการนี้นั่นแหละ – แต่ที่น่าเศร้าก็คือเขาจะมีชีวิตอยู่หลังจากนั้นอีกเพียง 7 ปีครับ เพราะเขาเสียชีวิตลงในปี 1982 อันเนื่องมาจากเสพยาเกินขนาด

ส่วนคนผิวดำที่เดินว่อนไปทั่วรายการ แล้วก็มีความสามารถในการร้องเพลงอย่างน่าทึ่ง รายนี้คือ การ์เรตต์ มอร์ริส (Lamorne Morris) สมาชิกรุ่นบุกเบิกของรายการนี้และถือเป็นสมาชิกคนผิวดำคนแรกด้วยครับ, ส่วนคุณพี่ตัวตัวโย่งๆ ที่มาพร้อมเครื่องเล่นแผ่นเสียง และมาพร้อมการแสดงในเพลงไมท์ตี้ เมาส์ คนนี้คือดาราตลกระดับตำนานอีกคน นามว่าแอนดี้ คอฟแมน (Nicholas Braun) ซึ่งเคยมีหนังที่บอกเล่าเรื่องของเขาโดยเฉพาะมาแล้ว ซึ่งก็คือ Man on the Moon ที่ Jim Carrey นำแสดงนั่นแหละครับ

และนอกจากนี้ Braun ยังควบแสดงอีกบทหนึ่ง นั่นคือคุณพี่ผมยาวที่สาละวนอยู่กับคำถามเกี่ยวกับหุ่นเชิดของเขา รายนี้ก็คือ จิม เฮนสัน นักเชิดหุ่นระดับตำนานผู้ให้กำเนิดเหล่า The Muppets นั่นเองครับ

ส่วนผู้หญิงที่ดูมีซัมติงกับลอร์นนั้น เธอก็คือ โรซี่ ชูสเตอร์ (Rachel Sennott) ภรรยาในตอนนั้นของลอร์นครับ ซึ่งทั้งคู่ก็ทำงานเข้าขากันดี (จนกระทั่งมาแยกทางกันในช่วงปี 1980) – หลักๆ ก็ประมาณนี้ครับ ที่เหลือก็ลองไปปะติดปะต่อกันดูอีกทีนะครับว่าใครเป็นใคร

ใช่ครับ ผมชอบหนังเรื่องนี้ แต่ถ้าถามว่าหนังสุดไหม ผมว่าก็ยังนะ คือหนังจัดว่าทำสำเร็จครับในการฉายภาพความวุ่นวายให้เห็น แต่ในแง่ของมิติตัวละครหรือความลึกถือว่าไม่มากนัก ซึ่งก็พอเข้าใจครับว่าเอาแค่เรื่องราวและสถานการณ์มันก็เยอะพออยู่แล้ว ถ้าต้องมาปูเรื่องตัวละครหรือฉายภาพมิติความสัมพันธ์อีก ก็น่าจะต้องทำเป็นซีรี่ส์กันเลยล่ะ

อย่างผมนี่ก็ถือว่าได้เปรียบหน่อยเพราะพอรู้อะไรๆ บ้างแล้ว แต่ขนาดรู้ก็ตามแต่ระหว่างดูมันก็ยังไม่ถึงกับรู้สึกอิน ยังไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราว ซึ่งก็รู้แหละครับว่าถ้าจะทำให้ถึงขีดระดับนั้นมันก็ยากอยู่ แต่ถ้า Reitman ทำได้หนังคงเจ๋งมากๆ ถึงขั้นคลาสสิคไปเลยล่ะ

ก็สรุปตรงนี้ว่าสำหรับผมแล้ว หนังทำได้ดีครับ บอกเล่าอะไรๆ ได้ค่อนข้างครบในเชิงเนื้อหาและสถานการณ์ แต่ยังพร่องยังขาดอยู่บ้างในเรื่องของอารมณ์และความลึก แต่ถ้าถามผม ผมว่าก็โอเคแล้วล่ะ และผมมองว่า Reitman แกก็แน่ในระดับหนึ่ง เพราะเรื่องราวในหนังมันเยอะมาก ถ้าพี่เขาเล่าไม่ดีหรือโฟกัสผิดจุด หนังจะออกมามั่วอย่างแรงเลยล่ะครับ – ดังนั้นแม้หนังจะยังไม่สุด แต่ก็อยู่ในข่ายดีล่ะครับ

แต่ก็ต้องขอย้ำอีกทีว่าหนังไม่ได้เหมาะกับทุกคนครับ โดยหลักแล้วมันคือหนังเบาสมอง แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใช่ตลกตามสูตร ไม่ใช่ตลกซิทคอม ไม่ใช่ตลกท่าทาง คือจริงๆ มันก็มีผสมๆ อยู่แหละครับ แต่สไตล์ของมันที่สำเร็จออกมาจะไม่ใช่หนังตลกสูตรทั่วไปเท่านั้นเอง

เอาเป็นว่าก็อยากให้ลองครับ ลองสัก 15 นาทีก็ได้ ถ้าไม่ทางจริงๆ ก็ข้ามไป แต่ถ้าท่านเป็นคอหนังประเภทที่คุ้นเคยมากับชื่อของดาราระดับตำนานที่ผมเอ่ยไป ผมถือว่านี่เป็นโอกาสอันดีครับที่ท่านจะได้รู้จักพวกเขาเพิ่ม ได้เห็นแง่มุมความเป็นพวกเขาเพิ่ม (และบางมุมก็ไม่ได้น่ารักครับ) อันน่าจะทำให้ท่านจดจำพวกเขาได้แม่นยำยิ่งขึ้น – ถ้าจะให้สรุปนิยาม ผมว่าเรื่องนี้เป็นหนังประวัติศาสตร์บทหนึ่งของวงการตลกในอเมริกา ใครอยากรู้เรื่องทำนองนี้ก็น่าลองครับ

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)