นี่คือหนังตลกผสมดราม่าสไตล์ Feel Good ที่ดูแล้วสบายอกสบายใจ ทำให้เราอิ่มเอมและมีความสุขแบบกำลังดีครับ
ตัวเอกของเรื่องคือ โจ สการาเวลล่า (Vince Vaughn) ที่เพิ่งสูญเสียคุณแม่ไป ซึ่งเขาก็มูฟออนจากเรื่องนี้ได้ยากยิ่งเหลือเกินครับ แต่ทีนี้อยู่มาวันหนึ่งเขาเกิดปิ๊งไอเดียว่าจะซื้อร้านอาหารที่เขาเคยเป็นลูกค้ามาตั้งแต่เด็ก มาทำเป็นร้านอาหารในแบบของตัวเอง นั่นคือเชิญชวนคุณย่าคุณยายสายเลือดอิตาเลียนมาร่วมกันปรุงอาหารด้วยสูตรที่สืบทอดกันมา
เหล่าคุณย่าคุณยายนั้นก็ประกอบด้วยโรเบอร์ต้า (Lorraine Bracco) เพื่อนสนิทของแม่โจ, อันโทเนลล่า (Brenda Vaccaro) เพื่อนบ้านของโอลิเวีย (Linda Cardellini) สาวสวยที่โจแอบมีความรู้สึกดีๆ ให้, เทเรซ่า (Talia Shire) อดีตแม่ชีที่มายังร้านนี้โดยเชื่อว่านี่คือลิขิตจากพระเจ้า และเจีย (Susan Sarandon) ช่างเสริมสวยความแซ่บสูงแบบไม่เกี่ยวอายุ – แล้วเรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ต้องลองติดตามกันนะครับ
บอกเลยว่านี่คือหนังที่สร้างมาเพื่อผมครับ คือมันเข้าทางแบบตรงเป๊ะ อย่างแรกคือผมชอบอยู่แล้วล่ะ หนังรวมดารารุ่นเก๋าที่ผมโตมากับผลงานของพวกเขา – อย่างที่สองคือนี่เป็นหนัง Feel Good ที่บอกเล่าเรื่องราวช่วงหนึ่งของชีวิตคน ที่เล่าได้แบบครบรสมีทั้งสุขทุกข์ รอยยิ้มและคราบน้ำตา- แล้วอย่างที่สามคือหนังว่าด้วยเรื่องของอาหารครับ ซึ่งผมนี่ก็ไม่รู้ทำไม หนังที่ดูแล้วหิวนี่มันถูกใจใช่เลยซะนี่กระไร
ยังไม่หมดครับ แล้วผมยังมีนิสัยประจำตัวอีกอย่าง นั่นคือ ผมจะแพ้ผู้สูงอายุครับ อย่างเวลาเห็นผู้สูงอายุขายอะไรสักอย่างตามทางนี่ใจมันจะอยากอุดหนุนโดยอัตโนมัติ ยิ่งตามร้านอาหารที่ปรุงรสมือโดยคุณยายคุณย่าอาม่าอาอึ้มเนี่ย ผมก็จะเลือกทางร้านอาหารเหล่านี้เป็นตัวเลือกแรกๆ ซึ่งมันก็คงด้วยหลายเหตุผลปนเปกันน่ะครับ ไม่ว่าจะเพราะรู้สึกอยากสนับสนุนคนชรา หรือเพราะรู้สึกอบอุ่น รู้สึกดี ไหนจะสูตรอาหารทั้งหลายที่มักจะเป็นสูตรเก่าแก่ดั้งเดิมที่ท่านทำมาหลายสิบปี (หรือบางสูตรนี่ก็หลักร้อยปีไปเลยก็มี) ดังนั้นหนังเรื่องนี้สร้างมาให้คนแบบผมดูโดยแท้เลย
แล้วหนังก็ออกมาดีด้วยครับ แน่นอนว่าพลังอย่างแรกของหนังคือการแสดงระดับไว้ใจได้แล้วของเหล่าดารา ไม่ว่าจะรุ่นเก่าเก๋ากึ๊กที่แต่ละคนนี่ล้วนวิ่งผ่านเวทีออสการ์กันมาแล้วทั้งสิ้น หรือรุ่นกลางอย่าง Vaughn, Cardellini, Joe Manganiello ในบทบรูโน่ เพื่อนซี้ของโจ และ Drea de Matteo ในบทสเตลล่า ภรรยาของบรูโน่ แต่ละรายนี่ก็เล่นได้ลื่นไหล น่าจดจำเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องการแสดงนี่ไม่ต้องห่วงเลยครับ
องค์ประกอบอื่นๆ ก็พอเหมาะครับ ไม่ว่าจะดนตรีละมุนอารมณ์โดย Marcelo Zarvos แห่ง The Choice, Wonder และ The Equalizer 3 หรือเพลงอิตาเลียนที่ใส่ลงมากันแบบเต็มที่ ต่อด้วยงานเลือกคอสตูมโดย Brenda Abbandandolo (CODA) ที่เลือกชุดให้แต่ละคนได้เหมาะเหม็ง โดยเฉพาะชุดของเจียนี่คือสื่อตัวตนของเธอได้ดีในทุกฉาก
งานภาพก็จัดว่าพอเหมาะอีกเช่นกันครับ โดยเฉพาะบรรยากาศในร้านอาหารของโจที่ดูอบอุ่น สวยแบบคลาสสิคๆ มันสื่อได้แบบตรงๆ เลยว่าโจมีหมุดหมายให้ร้านแห่งนี้เป็นเหมือนบ้านอีกหลังของเขา บ้านที่เต็มไปด้วยความรัก บ้านที่เต็มไปด้วยโอกาสและความเป็นมิตร ซึ่งผู้กำกับภาพก็คือ Florian Ballhaus ที่ไต่เต้าจากการทำงานเป็นผู้ช่วยคุมกล้องในหนังอย่าง Broadcast News, The Last Temptation of Christ, Goodfellas, Bram Stoker’s Dracula, Quiz Show, One Fine Day จนได้มาเป็นผู้กำกับภาพตัวจริงใน The Devil Wears Prada, The Time Traveler’s Wife, The Book Thief และ The Lift List อีกหนึ่งหนังดีของ Netflix
ส่วนผู้กำกับก็คือ Stephen Chbosky ที่เคยมีผลงานน่าจดจำอย่าง The Perks of Being a Wallflower และ Wonder ซึ่งเขาก็คุมหนังได้ดีครับ เล่าเรื่องได้ลื่นไหล คุมจังหวะอารมณ์ในแต่ละช่วงได้ค่อนข้างพอดี โดยรวมต้องจัดว่าดีมากเลยล่ะ เพียงแต่ในแง่ของความลึกซึ้งบางอย่างของหนังถือว่าอยู่ในระดับยังดีได้อีก – พิจารณาจากงานของเขา 2 เรื่องนั้นที่ผมยกมาท่านจะเห็นภาพครับ ว่า 2 เรื่องนั้นมันจะมีความลึกซึ้ง ความกินใจมากกว่าหน่อย ซึ่งผมมองว่าอาจเป็นเพราะ 2 เรื่องนั้น Chbosky ถ้าไม่เขียนบทเองก็จะมีส่วนในการเกลาบท
ในขณะที่เรื่องนี้ คนทำหน้าที่เขียนบทคือ Liz Maccie ที่ร้อยเรียงจากเรื่องราวของ Jody Scaravella ตัวจริง ซึ่งว่าตามจริงชั่วโมงบินของ Maccie ยังไม่เยอะครับ เคยเขียนบทหนังมา 3 เรื่อง และเขียนบทให้ซีรี่ส์อีก 2 เรื่อง (หนึ่งในนั้นก็คือ Siren) ดังนั้นที่บางส่วนบางเสี้ยวของหนังยังลึกได้อีกก็อาจจะมาจากเหตุผลนี้ครับ – ว่าง่ายๆ คือถ้าพี่เขาลงลึกด้วยตัวเอง หนังอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เป็นครับ
และสาระหนึ่งที่ผมว่าสำคัญที่ผมได้จากหนังเรื่องนี้ก็คือ การจะทำอะไรก็ตามนั้น ถ้าจะให้ดีควรมีแผนครับ โดยเแพาะการจะลงทุนประกอบอาชีพหรือเอาเงินของเราไปลงทุนกับอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะทำเพื่อเลี้ยงชีพ หรือทำตามความฝันก็ตาม เราก็ควรศึกษามันให้ดี ควรมีการวางแผน พยายามสั่งสมข้อมูล มองให้เห็นรอบด้าน มองให้เห็นผลลัพธ์ทุกทาง (อันได้แก่ เจ๋ง เจ๊ง และเจ๊า) เพื่อที่เราจะได้เตรียมการรับมือ หรือหาทางอุดรอยรั่วไม่ให้ผลลงเอยที่ “เจ๊ง”
แต่ถ้าโอกาสเจ๊งสูง เราก็ต้องคิดดูให้ดีๆ ล่ะครับว่าจะเดินต่อไหม หรือถ้ายังจะเดินต่อเราก็ต้องเตรียมทางหนีทีไล่ ถ้าท่านมีทุนสำรองให้เสี่ยงมากพอก็เรื่องหนึ่ง แต่หากท่านมีกระสุนแค่นัดเดียว ไม่มีนัดสำรองเลย มันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อีกทั้งควรปรึกษาคนให้รอบ – ผมเข้าใจครับว่าต่างคนก็จะต่างเหตุผลกันไป บางคนอาจเห็นด้วย บางคนอาจไม่เห็นด้วย อันนี้เราก็ต้องรวบรวมประมวลความคิดและเอามาพิจารณาต่อด้วยตนเอง ซึ่งผมก็เข้าใจอีกนั่นแหละว่าสำหรับบางคน ยิ่งข้อมูลเยอะยิ่งเห็นชัดและตัดสินใจแม่น แต่สำหรับบางคน ยิ่งข้อมูลเยอะกลับยิ่งสับสน อันนี้ก็อาจต้องประเมินตนเองไปพร้อมๆ กับประเมินข้อมูล รวมถึงอาศัยโอกาสนี้ในการฝึกตน พัฒนาตนให้แข็งแกร่งขึ้น – เพราะคนเราแม้ในอดีตจะสับสนง่ายและมีพลังสติน้อย แต่ก็ใช่ว่าเราจะต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป เราสามารถเพิ่มทักษะให้ตนเองได้ครับ หากเราตั้งใจมากพอ
ตัวเราก็เหมือนแอปนั่นแหละครับ อัพเกรดได้อัพเดตได้ถ้ารู้วิธี และถ้าท่านไม่ได้ตั้งระบบให้ตัวเองอัพเดตแบบออโต้ล่ะก็ ท่านก็ต้อง “กดปุ่ม” เพื่อให้ตนเองอัพเดต – จะกดปุ่มอัพเดตหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับท่านนั่นแหละครับ
สรุปว่าแม้หนังอาจยังไม่ถึงระดับสมบูรณ์แบบ แต่เท่านี้ผมก็ชอบหนังเรื่องนี้มากแล้วล่ะครับ หนังดูแล้วสนุก อิ่มเอม อบอุ่นหัวใจ ดูแล้วยิ้มได้ ผมเลยอยากเชิญชวนครับ ใครที่ชอบหนังแนว Feel Good เบาสมอง, ชอบหนังแนวทำอาหาร แนวสร้างแรงบันดาลใจ หรือแพ้ผู้สูงอายุแบบผม หนังเรื่องนี้น่าจะเข้าทางท่านไม่มากก็น้อยครับ
สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ
(7.5/10)












