หนังเสริมสร้างแรงบันดาลใจที่ว่าด้วยเรื่องราวของคนเป็นครูครับ ใครชอบหนังแนว To Sir, With Love, Dead Poets Society หรือ Dangerous Minds นี่ผมแนะนำแบบสุดๆ ให้จัดได้เลย
เรื่องของ อีริน กรูเวลล์ (Hilary Swank) คุณครูผู้มีความตั้งใจเกินร้อยในการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับลูกศิษย์ ซึ่งเธอก็ได้มาสอนที่โรงเรียนมัธยมวูดโรว์ วิลสัน ที่ซึ่งเด็กนักเรียนมีการแบ่งแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า แบ่งกันด้วยสีผิวและเชื้อชาติ ทำให้การสอนของเธอนั้นไม่ใช่ของง่าย เพราะเธอต้องรับมือกับสารพัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างนักเรียนในชั้น แล้วยิ่งไปกว่านั้นเหล่าเด็กๆ ก็ยังไม่เชื่อใจในคุณครูผิวขาวอย่างเธออีก งานนี้ครูอีรินจึงต้องพยายามอย่างสุดพิกัด เพื่อที่จะทำให้เหล่าเด็กๆ เปิดใจยอมรับการสอนจากเธอ
เรื่องนี้ดูได้เลยครับ ใครชอบหนังแนวครู แนวสร้างพลังใจ หรือแนวสร้างจากเรื่องจริง เรื่องนี้นี่ครบเลยเพราะคุณครูอีริน กรูเวลล์นี่มีตัวตนจริงๆ ครับ และหลายเหตุการณ์ในเรื่องก็เกิดขึ้นจริง ตัวหนังจัดว่าน่าติดตามมากๆ และพลังเยอะมากๆ เริ่มจากดารานำอย่าง Swank ที่ดูแล้วเชื่อจริงๆ ว่าเธอคือคุณครูผู้ทุ่มเท ส่วนเหล่านักเรียนแต่ละคนก็เหมือนกันครับ แสดงกันได้พอเหมาะ คือดูแล้วเชื่ออีกเหมือนกันว่าเด็กๆ เหล่านี้กำลังมีปัญหาไม่ว่าจะปัญหาส่วนตัว ปัญหาแบ่งแยกผิวสี หรือปัญหาด้านความคิดกับทัศนคติ เรียกว่ามวลพลังในหนังนี่มันได้เลยครับ ดูแล้วมันอินไปโดยไม่รู้ตัว
ดาราสมทบในเรื่องอย่าง Imelda Staunton, Patrick Dempsey และ Scott Glenn ก็ช่วยเสริมความแน่นให้กับเรื่องราวได้ไม่น้อยเช่นกัน รายแรกก็เป็นคุณครูโรงเรียนเดียวกับครูอีรินที่มองว่าความพยายามที่จะเปลี่ยนเด็กนักเรียนเหล่านี้เป็นอะไรที่ไร้ผล สู้เอาเวลาไปสอนเด็กที่เรียนดีมีอนาคตไม่ได้, ส่วน Dempsey ก็เป็นสามีของครูอีริน รายนี้ก็ถ่ายทอดอารมณ์ห่างเหินกับภรรยาได้อย่างน่าเชื่อเช่นกัน ส่วน Glenn ในบทพ่อของครูอีริน รายนี้ก็แสดงความคิดเห็นออกมาแบบตรงๆ ในตอนต้นว่าเขาเองก็ไม่เชื่อว่าครูอีรินจะสามารถทำให้เด็กหันมาฟังเธอได้ ก่อนที่เราจะได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในความคิดของเขาในเวลาต่อมา – จากไม่เชื่อว่าลูกทำได้กลายเป็นหันมายอมรับในความตั้งใจของลูก – แต่ละรายถือว่าทำหน้าที่ได้ดีเท่าที่บทจะเปิดโอกาสครับ
ฉากหนึ่งที่ผมชื่นชมในตัวครูอีรินคือตอนที่ต้องรับมือกับพลังเชิงลบสารพัดของนักเรียนในห้อง อีกทั้งต้องมาตอบคำถามที่เจือด้วยโทสะของนักเรียนแต่ละคน วาระนั้นเธอต้องโคตรอึด โคตรทนแบบสุดๆ และ Swank ก็แสดงได้ดีมากๆ เพราะดูท่าก็พอรู้ว่าเธอเองก็มีความโกรธ มีความเจ็บปวด รวมถึงมีความกลัว (สังเกตได้จากตาแดงๆ ที่เหมือนน้ำตาปริ่มๆ จะไหลออกมา) การที่เธอจะสะกดกลั้นห้วงความรู้สึกเหล่านั้นทั้งหมด แล้วพยายามควบคุมตัวเองให้พูดออกไปต่อหน้านักเรียนทั้งห้องที่กำลังทำท่าจะกินหัวเธออยู่แล้วนั้น มันเป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ผมว่าฉากนี้นอกจากจะทำให้เราเห็นภาพการแสดงดีๆ แบบรับส่งพลังกันแล้ว มันยังเป็นอะไรที่น่าเรียนรู้นะครับ เพราะมันคือทักษะที่เราสามารถนำเอาไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่เราจะต้องโต้คารมกับคนอื่น ไม่ว่าจะอายุน้อยกว่า มากกว่า หรือเท่ากันก็ตาม – หากเราควบคุมตัวเองได้แล้ว โอกาสในการแก้ไขสถานการณ์ให้ลงเอยด้วยดีได้ก็จะมีมากขึ้น อันนี้ผมไม่อยากให้มองในแง่แพ้ชนะนะครับ แต่อยากให้มองว่าเราสามารถทำให้มันกลายเป็น Win Win Situation คือ ให้ลงเอยด้วยการได้ทั้งคู่ หรืออย่างน้อยก็ให้มันเสียหายน้อยที่สุด
บางครั้งการจะทำให้ใครสักคนเข้าใจสิ่งที่เราอยากจะสื่อสารนั้น มันต้องใช้มากกว่าเหตุผล มากกว่าแค่หลักฐาน หรือมากกว่าแค่ความตั้งใจครับ แต่มันต้องผสานเอาความอดทนอดกลั้น มันต้องมีสติเป็นเครื่องนำร่อง มันต้องมีทักษะในการสื่อสาร ซึ่งของแบบนี้มันฝึกกันได้ครับ
สำหรับผมฉากนี้สอนคนเป็นพ่ออย่างผมได้ดีครับ เพราะยิ่งลูกกำลังโตเป็นวัยรุ่น เราก็ต้องมีศิลปะในการสื่อสารมากขึ้น และแน่นอนว่ายามใดที่เขากำลังมีอารมณ์เป็นเจ้าเรือน ตัวเรานั้นเองที่เราต้องพยายามยืนให้เท้าติดดิน ต้องอย่าปล่อยให้อารมณ์พลุ่งพล่านตามไป และไม่ควรที่จะใช้วัยวุฒิหรือคุณวุฒิที่เรามีมาเป็นเครื่องมือในการข่มให้เขาฟัง แต่เราควรใช้สิ่งเหล่านั้นมาเตือนตัวเองให้มีสติ จากนั้นค่อยพยายามเรียบเรียงสิ่งที่เราอยากสื่อสารให้ฟังเข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่ว่าจะเป็นคนวัยไหน การมีสติไว้ไม่ใช่เรื่องเสียหายครับ
อีกหนึ่งฉากที่ชอบคือ “เกมยืนชิดเส้น” ผมนี่ยกให้เป็นหนึ่งในฉากที่เฉียบคมมากๆ ฉากหนึ่งในโลกภาพยนตร์ ในแง่ความเป็นหนังนี่คือฉากที่ทรงพลัง ในแง่ของบท นี่คือจุดที่เชื่อมให้เหล่านักเรียนเริ่มหันหน้าเข้าหากัน เริ่มเข้าใจกัน และเริ่มมองอีกฝ่ายว่าพวกเขาก็เป็นมนุษย์ปุถุชนเช่นเดียวกับตน เคยผ่านความเจ็บปวดและความสูญเสียมาเหมือนกัน – เมื่อคนสองคนเห็นจุดเหมือนมากกว่าจุดต่าง เห็นจุดเชื่อมมากกว่าจุดแบ่ง เมื่อนั้นสายสัมพันธ์บางอย่างก็จะเริ่มต้น
อีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกระหว่างดูก็คือ การตระหนักว่าทุกประเทศมีปัญหา ทุกชีวิตมีบาดแผล ซึ่งบางคนก็ยอมแพ้และก้มหน้ารับชะตากรรม ในขณะที่บางคนเงยหน้าสู้ฟ้าดิน และใช้ปัญหา บาดแผล และความเจ็บปวดทั้งหลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยผลักดันชีวิต ให้ก้าวไปได้ไกลขึ้น ไปสู่อะไรที่มันดีขึ้น
ใครๆ ก็มองว่าปัญหาของตน ใหญ่ที่สุดเสมอ
และไฮไลท์อย่างหนึ่งในหนังคือการที่ครูอีรินสอนให้นักเรียนเขียนบันทึก อันนี้ผมอยากจะแนะนำเลยครับว่ามันเป็นวิธีที่เวิร์กมาก และทรงพลังมาก เพราะผมก็เขียนครับบันทึกน่ะ เขียนมาจะ 30 ปีแล้ว และบอกได้เลยว่ามันดีจริงๆ ในเบื้องต้นมันคือการระบายอารมณ์และความรู้สึกต่อสรรพสิ่งที่เราเจอในชีวิต แล้วลำดับต่อมาเราก็จะสามารถใช้มันในการย้อนมองเหตุการณ์ ย้อนทบทวนตัวเอง พูดง่ายๆ คือเราสามารถจะรู้จักตัวเองได้ดีขึ้น เห็นตัวเองได้ชัดขึ้นก็ด้วยการเขียนบันทึกนี่แหละครับ – ใครไม่เคย อยากให้ลองดูครับ
หนังเรื่องนี้ถือเป็นสื่อๆ หนึ่งที่หากเราเปิดใจดู เราก็จะรับรู้อะไรหลายอย่าง ทั้งแง่คิดดีๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้, ทั้งมุมคิดของผู้คน ที่สามารถขยายวิสัยทัศน์การมองโลกของเราได้ และยังทำให้เรามองเห็นปัญหาของประเทศนั้นๆ ซึ่งผมว่าเราสามารถใช้สื่อๆ นี้ในการทำความเข้าใจพวกเขาได้ครับ ลองเริ่มต้นรับรู้และทำความเข้าใจ ดูว่ามันสะท้อนอะไร แล้วจากนั้นเราจะเอาข้อมูลหรือเรื่องราวเหล่านี้มาใช้ในรูปแบบไหนต่อนั้น นั่นก็ขึ้นอยู่กับเรา
… จะใช้เพื่อหัวเราะเยาะหยัน ว่ามะกันที่ว่าเจ๋งที่ว่าแน่ ก็มีปัญหาเหมือนกันนั้นแหละว้า…
… หรือจะใช้มันเพื่อเข้าใจความจริงของโลก เพื่อเป็นแนวทางสู่การปล่อยวางตน…
… หรือหากรับรู้แล้ว อยากทำอะไรสักอย่าง เพื่อช่วยเปลี่ยนแปลง เพื่อแก้ไข เพื่อช่วยเหลือ…
… หรือจะไม่ทำอะไรทั้งสิ้น…
นั่นขึ้นอยู่กับเราครับ ว่าจะเลือกทางไหน…
และสิ่งหนึ่งที่ผมคิดหลังดูหนังเรื่องนี้จบก็คือ “ไม่ขอคาดหวังให้ “คน” หันมารับผิดชอบโลกทั้งใบ แต่อย่างน้อยขอให้ “คน” หันมารับผิดชอบชีวิตตนเอง – หนึ่งคน หนึ่งชีวิต”
ดีใจที่อย่างน้อยหนังเรื่องนี้ก็ยังพอได้ทุนคืน คือได้มาราว $43 ล้านจากทั่วโลก จากต้นทุนราว $21 ล้าน – อาจไม่กำไรอะไรมาก แต่ก็ยังดีกว่าขาดทุน
ผมสนุกกับการดูหนังเรื่องนี้ครับ ดูแล้วชอบ ดูแล้วอิน ดูแล้วได้อะไรหลายอย่าง แต่หากจะมีอะไรที่แอบเสียดายหน่อยคงเป็นตอนท้ายน่ะครับ รู้สึกว่าหนังจะแลนดิ้งเรื่องจบเร็วไปหน่อย ตอนแรกนึกว่าจะมีเหตุการณ์อะไรมากกว่านั้นสักนิด แต่กลายเป็นว่าแป๊บๆ ก็จบซะแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะยังไงผมก็ยังชอบเรื่องนี้อยู่ดี
สรุปคือหนังเรื่องนี้มีดีน่าดู ควรดู และอยากให้ดูครับ
สามดาวครับ
(8/10)













