พี่หนวดหิน Charles Bronson รับบทบุรุษลูกครึ่งอาปาเช่นามว่า พาร์ดอน ชาร์โต้ เขาไปแวะบาร์แห่งหนึ่งและหวังจะดื่มสักหน่อย แต่นายอำเภอผิวขาวอย่างอีไล แซนเดอร์ (Roland Brand) ได้ทำการเหยียดหยามความเป็นอินเดียนแดงของชาร์โต้ จนในที่สุดชารืโต้ก็ยังนายอำเภอตายไป
ทีนี้ก็เป็นเรื่องล่ะครับ เพราะพวกของนายอำเภอนำโดยผู้กองควินซี่ วิตมอร์ (Jack Palance) ก็ได้เกณฑ์คนมากลุ่มใหญ่เพื่อหวังตามล่าลากตัวชาร์โต้มาแขวนคอซะ แต่พวกเขาก็หารู้ไม่ครับว่าชาร์โต้น่ะไม่ใช่คนธรรมดา เขาน่ะมีความสามารถในการล่าในระดับสูง
และงานนี้ ผู้ล่าก็ต้องกลายมาเป็นผู้ถูกล่าในที่สุด
เรื่องนี้เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกระหว่างผู้กำกับ Michael Winner และ Bronson ซึ่งถัดจากนี้พวกเขาจะได้คู่บุญกันไปอีกหลายเรื่องเลยครับ รวมถึงงานคลาสสิคอย่าง The Mechanic และ Death Wish ด้วย สำหรับเรื่องนี้จริงๆ ก็ออกแนวหนังล้างแค้นครับ บวกด้วยกลิ่นอายคาวบอย ซึ่งจัดว่าใช้ได้ทีเดียว โดยในช่วงต้นๆ เราอาจต้องทนสักหน่อยครับกับการปูพื้น โดยเฉพาะตอนที่ผู้กองควินซี่แวะไปตามที่ต่างๆ เพื่อรวบรวมสมัครพรรคพวก ช่วงนี้อาจช้าไปบ้าง แล้วก็มีช่วงเรื่อยๆ แทรกลงมาบ้างเป็นระยะๆ แต่โดยรวมหนังถือว่าน่าติดตามพอตัวครับ
อันว่าความน่าติดตามของหนังเกิดจากพลังดาราอย่างหนึ่งล่ะ แต่ละคนแสดงกันได้ดี มีคาแรคเตอร์ประจำตน จุดที่ผมชอบคือคนในขบวนของผู้กองควินซี่นั้นมีหลากหลาย บ้างก็ยังพอมีสติรู้ผิดชอบชั่วดี แต่บางคนก็ร้ายกาจสุดขั้ว เห็นแก่ตัวสุดขีด ซึ่งการได้เห็นสันดานของแต่ละคนนี่ก็ถือเป็นจุดที่ชวนให้หนังน่าติดตามเหมือนกัน เพราะเราอยากจะรู้น่ะครับว่าแต่ละคนจะไปสุดที่ตรงไหน อย่างคนที่ร้ายสุดๆ นี่จะร้ายได้ขนาดไหน จะร้ายถึงขั้นหันมาห้ำหั่นพวกเดียวกันเองไหม หรือคนที่ยังมีพอศีลธรรมบ้างจะเอ่ยปากห้ามปรามไม่ให้พรรคพวกทำผิดหรือเปล่า อะไรประมาณนี้
ว่าตามจริงเนื้อที่ส่วนใหญ่ของหนังก็จะสะท้อนให้เราเห็นมิติของคนขาวกลุ่มที่ออกล่านี่แหละครับ ในขณะที่บทของชาร์โต้นั้นมีไม่เยอะ ดังนั้นจึงไม่แปลกหากเราจะรู้สึกว่าหนังเน้นย้ำประเด็นเกี่ยวกับการเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติของคนขาว แล้วก็สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิด วิธีมองโลก รวมถึงวิถีในการตัดสินใจของคนเหล่านี้ ซึ่งบางครั้งก็บิดเบี้ยวและเข้าข้างตัวเองแบบสุดๆ ก็ถือเป็นการวิพากษ์ที่น่าสนใจดี
และรายที่ผมติดตาติดใจในเรื่องการแสดงที่สุดคือ Ralph Waite ในบท อีไลอัส ฮุคเกอร์ รายนี้ถือว่าร้ายที่สุดในกลุ่มคนที่ว่า ซึ่งที่ผมติดตาติดใจนี่ก็เพราะผมน่ะชอบ Waite มากๆ จากบทคุณพ่อผู้แสนสุขุมและใจเย็นในซีรี่ส์ชุด The Waltons คือเรื่องนั้นนี่เขาดูสุขุมมาก ใจเย็นและใจดีมากๆ แต่มาเรื่องนี้เขาสามารถพลิกบทบาทเป็นบทร้าย และยังร้ายแบบสุดๆ ซะด้วย เอาแค่ตรรกะเกี่ยวกับความยุติธรรมก็เห็นชัดแล้วครับว่าเขาน่ะสุดแค่ไหน – ไม่ชื่นชมก็คงไม่ได้ล่ะครับ เพราะเล่นได้ร้ายจนผมเองยังเกลียดเลย 555
แต่ก็ต้องบอกก่อนครับว่าจังหวะของหนังอาจไม่ฉับไวนัก ซึ่งก็เป็นไปตามสไตล์ของหนังคาวบอยรุ่นเก่านั่นแหละ ซึ่งผมเองก็รู้สึกว่าหนังอืดอยู่เหมือนกันครับ แต่พอปรับใจได้มันก็เลยโอเคขึ้น และต้องบอกเลยว่าหนังไม่ได้กระหน่ำแอ็คชั่นแบบเต็มที่ หนังมีบู๊กันยิงกันเท่าที่จำเป็น – เพราะชาร์โต้ไม่ได้เป็นพวกบ้าคลั่งฆ่า แต่เขาล่าฝ่ายตรงข้ามอย่างช้าๆ และรอเชือดตอนที่เหมาะที่สุด หรือเจ็บที่สุด อะไรประมาณนั้นน่ะครับ
การดูหนังเรื่องนี้ ทำให้ผมหวนคิดถึงประเด็นหนึ่งที่ผมมักคิดเสมอในระยะหลังนี้ คือประเด็นที่ว่า “การทำสิ่งที่ผิด นำไปสู่สิ่งที่ผิด จะนำไปสู่สิ่งที่ผิด และนำไปสู่สิ่งที่ผิด…” ว่าง่ายๆ คือบางสิ่งบางอย่างที่มีบทลงเอยที่ไม่ดีนั้น บางทีมันก็เริ่มต้นจากการทำสิ่งที่ผิดนั่นแหละครับ อย่างในเรื่องนี้เป็นต้น เรื่องมันจะไม่เกิดเลยหากนายอำเภอไม่ไปเหยียดชาร์โต้ (ทำสิ่งที่ผิด) แล้วชาร์โต้ก็โต้ตอบด้วยการฆ่าเขา (นำไปสู่สิ่งที่ผิด) แล้วพวกผู้กองควินซี่เลยตั้งทีมออกล่า (จะนำไปสู่สิ่งที่ผิด) แล้วยังก่อให้เกิดเรื่องเลวร้ายตามมาอีก เช่นเรื่องที่เกิดกับภรรยาของชาร์โต้นั่นเป็นต้น (และนำไปสู่สิ่งที่ผิด)
สำหรับผม หนังมีข้อเตือนใจสำคัญเลยครับ ว่าเราจะทำอะไรก็ควรระวังให้ดี อย่าริอ่านเริ่มทำสิ่งที่ผิด หากไม่อยากให้ชีวิตไปเจอสิ่งที่ผิดในลำดับต่อๆ ไป
เกร็ดที่ขอนำมาฝากคือ ระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ Bronson ปฏิเสธที่จะกินอาหารร่วมโต๊ะกับ Palance ต้องรอจนการถ่ายทำจบลงน่ะครับพวกเขาถึงจะได้ร่วมโต๊ะกัน และตอนหลัง Bronson ก็ออกมาบอกว่า “Jack Palance เป็นคนที่ไนช์มากคนหนึ่ง” – เดาว่า Bronson คงทำเพื่อให้อินกับบทน่ะครับ เพราะถ้ากินร่วมโต๊ะกันมันคงแสดงอารมณ์เกลียดกันได้ยากขึ้นนั่นเอง
และว่ากันว่าตอนแรก Winner อยากให้ Gene Hackman มารับบทผู้กองควินซี่ครับ ซึ่งถ้าได้เขามาเล่นนี่โทนก็คงไปอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน
โดยรวมแล้วถือเป็นหนังคาวบอยที่น่าพอใจครับ เพียงแต่การเดินเรื่องอาจช้าไปบ้าง ความเร้าใจอาจยังไม่เยอะ หรือถ้าใครคาดหวังแอ็คชั่นก็ต้องทำใจหน่อยเพราะมันไม่ได้บู๊กันขนาดนั้น จริงๆ ผมมองว่าหนังจะหนักไปทางดราม่ามากกว่าด้วย (เพราะเน้นที่การสะท้อนมิติมนุษย์ของพวกผู้กองควินซี่เป็นหลัก) ส่วนผมก็อยู่ในข่ายโอเคกับหนังครับ เพียงแต่ก็ยอมรับว่าความเชื่องช้าในบางจังหวะก็บั่นทอนความเพลินของหนังไปบ้างเหมือนกัน
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Drama, Movie Reviews, Western











