บอกตรงๆ ว่าพอดูหนังแนวนี้มากๆ เข้านี่ เวลาใครชวนไปไหนผมชักจะไม่กล้าไปแล้วนะ 555 คือมันเริ่มหลอนน่ะครับ เริ่มระแวงแล้วว่าเราจะดวงซวยแจ็คพ็อตไปเจอเรื่องนรกๆ แบบนี้ไหมเนี่ย
พล็อตเรื่องว่าด้วย ฟรีด้า (Naomi Ackie) สาวเสิร์ฟที่ได้รับการชักชวนจาก สเลเตอร์ คิง (Channing Tatum) มหาเศรษฐีพันล้านให้ไปร่วมจอยปาร์ตี้ที่เกาะส่วนตัวของเขา ตอนแรกอะไรๆ มันก็ดูสนุกดีล่ะครับ แต่พออยู่ไปๆ เธอเริ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติที่มากขึ้นๆ ตามลำดับ – หรือเกาะแห่งนี้จะไม่ใช่แดนสวรรค์อย่างที่เธอคิด?
อย่างแรกเลยคือสไตล์หนังมันชวนให้นึกถึงงานของพี่มาโนช (M. Night Shyamalan) และ Jordan Peele คือมาพร้อมโทนลึกลับ พร้อมเรื่องแปลกๆ ชวนฉงน แล้วหนังก็ค่อยๆ โปรยปมระหว่างทาง โปรยความบิดเบี้ยวเป็นพักๆ ก่อนที่ช่วงท้ายหนังจะบอกกับเราอีกทีว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น
ถ้าถามว่าสนุกไหม? สำหรับผมผมว่าหนังอยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางดีครับ คือมันยังไม่ถึงขั้นหวือหวาโว้วว้าวอะไร ยิ่งใครผ่านหนังของพี่มาโนช, Peele หรือหนังประเภท The Twilight Zone มาแล้วก็น่าจะรู้สึกคุ้นๆ เคยๆ ซึ่งในแง่หนึ่งก็เข้าใจครับว่านี่เป็นงานกำกับชิ้นแรกของดาราสาว Zoë Kravitz ซึ่งผมมองว่าทำได้ประมาณนี้นี่ก็เก่งแล้วนะ เพราะเธอสามารถคุมโทนให้มันดูแปลกๆ บิดเบี้ยวๆ ได้ เพียงแต่จังหวะในการเดินเรื่องอาจจะช้าไปหน่อยน่ะครับ เลยทำให้หนังมีความอืดอยู่เป็นพักๆ และความอืดที่ว่ามันก็ลดทอนความสนุกของหนังลงไปเหมือนกัน ประมาณว่าเรื่องบางช่วงมันวนๆ ไปไม่ถึงไหนสักที
พูดง่ายๆ คือถ้าหนังกระชับพื้นที่กว่านี้ก็น่าจะโอเคขึ้นน่ะครับ เพราะในแง่โปรดักชั่นน่ะโอเค งานดนตรีหรือ Soundtrack ที่ใส่ลงมาก็เวิร์ก การแสดงก็ถือว่าผ่านแบบสบายๆ หรือกระทั่งตัวบทเองจริงๆ ก็ใช้ได้ อย่างที่บอกน่ะครับว่าแม้จะไม่หวือหวาแต่ก็ถือว่าเอาท่ามาตรฐานของหนังแนวนี้มาใช้ได้อย่างพอเหมาะ แต่มันมาดร็อปความเพลินลงหน่อยเพราะจังหวะที่ช้าไปในบางวาระนี่แหละ – สารภาพเลยครับว่าตอนกลางๆ เรื่องนี่มีแอบวูบหลับอยู่เหมือนกัน
ส่วนประเด็นในหนังก็น่าเอามาคิดต่อดีครับ ไม่ว่าจะการเสียดสีสังคมชั้นสูงที่คนรวยๆ บางคนพร้อมจะละลายเงินแบบเท่าไรเท่ากันเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง หรือการสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูดี ประมาณว่าต่อหน้าประชาชีก็มีภาพแบบหนึ่ง ดูเป็นคนดี ใจบุญ ใจกว้าง ถึงพร้อมซึ่งสติและหลักการ แต่เอาเข้าจริงฉากหลังของคนผู้นั้นอาจเป็นคนละเรื่องไปเลยก็ได้
หรืออย่างเรื่องการตามกระแส ตามแห่ไปกับสิ่งที่ใครๆ เขาว่าดี ใครๆ เขาว่าเลิศ ใครๆ เขาว่า Cool ซึ่งถ้าบางคนเข้าถึงลึกซึ้งกับสิ่งเหล่านั้นก็ว่ากันไปครับ แต่บางคนไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าไอ้ค่านิยมหรือกระแสสังคมที่เขาว่าดีนั้นน่ะ มันดียังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดีต่อตัวเองอย่างไร แต่เพียงเพราะเห็นใครๆ เขาว่าดีก็พร้อมจะแห่ตามกระแส ทำตามๆ กันไป จนพอถึงจุดหนึ่งถึงค่อยมาตระหนักว่า “จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ดี ไม่ได้ก่อประโยชน์ต่อชีวิตและจิตใจของเราอะไรเลยนี่หน่า – แล้วเราจะมัวทำไปทำไม จะมัววิ่งตามไปทำไม” หรือไม่บางคนอาจคิดด้วยซ้ำว่า “นี่เรากำลังเสียเวลาในชีวิตไปกับอะไรเนี่ย?”
อีกประเด็นก็คือการอย่าหลงเชื่อหรือไว้วางใจใครง่ายๆ ครับ ของแบบนี้ต้องใช้เวลา ต้องดูกันนานพอ ซึ่งผมว่าประเด็นนี้เหมาะแก่การใคร่ครวญมากๆ โดยเฉพาะยุคนี้สมัยนี้ ที่การหลอกลวงเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะหลอกต่อหน้า โทรมาหลอก หลอกผ่านโซเชียล หลอกผ่านแชท ฯลฯ
บางทีสิ่งน่ากลัวในหนัง มันก็สะท้อนสิ่งน่ากลัวในโลกด้วยครับ
อีกเรื่องเลยก็คือหัวข้อเรื่องอำนาจน่ะครับ ว่าอำนาจนั้นไปอยู่ในมือใครมันก็จะขยายตัวตนของคนผู้นั้นให้ชัดเจนขึ้น ใครใฝ่ดีก็ไปทางดี ใครฝ่ายทำลายก็ไปในเชิงทำลาย แต่ที่น่ากลัวก็คือเราจะไม่อาจรู้ได้ครับว่าบางคนนั้นน่ะจริงๆ เป็นอย่างไร จนกระทั่งอำนาจไปอยู่ในมือคนผู้นั้นแล้วนั่นแหละ
หรือจะคำพูดที่ว่า “มันไม่มีหรอกการให้อภัยน่ะ มันมีแต่ลืม” นี่ก็ชวนให้คิดว่า มันใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าคนเราจะมองคำกล่าวนี้อย่างไร ส่วนหนึ่งก็ขึ้นกับประสบการณ์ชีวิตน่ะครับ เคยผ่านเรื่องแบบไหน เคยเจออะไรมา – กับบางเรื่องแล้ว ถ้าไม่เคยเจอกับตัว เราจะไม่รู้หรอกครับ
หนังอาจไม่ถึงขั้นปั๊วะปังดังสนั่น แต่ก็ทำเงินพอได้นะครับ ทำไป $48 ล้านจากทั่วโลก จากทุนราว $20 ล้าน อย่างน้อยก็โปะทุนคืนได้
โดยรวมแล้วผมโอเคกับแง่คิดที่หนังสอดแทรกไว้ให้เราคิดตามน่ะนะครับ หนังมันก็สะท้อนความเป็นไปในสังคมโลกได้ไม่เลว ในขณะที่ความสนุกนั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับโอเค ยังไม่ถึงขั้นห้ามพลาด และบางช่วงออกจะอืดไปหน่อย แต่ถ้าใครชอบแนวนี้ก็ลองดูได้ครับ อย่างน้อยผมว่ามันก็เวิร์กกว่าหนังระยะหลังๆ บางเรื่องของ พี่มาโนช อีกนะ
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Movie Reviews, Mystery, Thriller












