Comedy

Here Today (2021) เพื่อนซี้สองวัย หัวใจหนึ่งเดียว

Untitled07637

หนังดราม่าเบาสมองแนวคู่หูต่างวัยที่มาค้นหาความหมายของชีวิตร่วมกันครับ คนหนึ่งก็คือนักเขียนบทละครตลกวัยดึกนามว่าชาร์ลี เบิร์นซ์ (Billy Crystal) ส่วนอีกคนคือนักร้องสาวคนรุ่นใหม่นามว่าเอ็มม่า เพจ (Tiffany Haddish) ที่พวกเขาได้มารู้จักกันโดยบังเอิญครับ แต่ไปๆ มาๆ ทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนต่างวัยที่คอยดูแลกันและกัน

เป็นหนังแนวโปรดอีกแนวของผมครับ ชอบอยู่แล้วหนังที่บอกเล่าชีวิตคน ตามด้วยสะท้อนมุมคิดต่างๆ แล้วเรื่องนี้ยังสะท้อนมุมมองของคนต่างวัยที่บางอย่างก็มองเหมือนและบางอย่างก็มองต่าง บอกตรงๆ ว่าผมเพลินกับหนังเรื่องนี้มากครับ บทสนทนาของเหล่าตัวเอกล้วนมีอะไรให้เก็บไปคิด บางอันก็สะท้อนสังคม บางอันก็ชี้ชวนให้เราย้อนมามองตนเอง ย้อนมาทบทวนตัวเราถึงสิ่งที่เคยทำไปแล้ว หรือไม่ก็กระตุ้นเตือนให้เราตระหนักคิดก่อนที่จะลงมือทำสิ่งอื่นต่อไปในอนาคต

หนังได้แรงบันดาลใจจากเรื่องสั้นชื่อ The Prize ของ Alan Zweibel แล้วจากนั้น Billy Crystal ก็ชวนเขามาแปลงจากเรื่องสั้นเป็นบทหนังด้วยกัน แล้ว Crystal ก็ลงมือกำกับเองด้วยครับ

ผมว่าผมนั้นก็เป็นแฟนของ Crystal นะครับ เพราะตามดูหนังของพี่แกมาตลอดโดยเฉพาะหนังที่เขาเขียนบท ผมรู้สึกว่าพี่เขาเป็นนักสังเกตชีวิต หลายมุกหลายประเด็นเลยที่ผมว่าไม่ใช่แค่นั่งเฉยๆ แล้วจะนึกออก มันต้องผ่านการคิด ผ่านการคุย ผ่านการไตร่ตรองจนตกผลึก กว่าจะกลั่นกรองออกมาเป็นมุกหรือเป็นประเด็นในฉากต่างๆ ได้

เวลาดูหนังของพี่เขาผมเลยมักจะสนุกครับ คือเรื่องมุกตลกก็สนุกอย่างหนึ่งล่ะ แล้วยังได้คิดตาม ได้อะไรบางอย่ามาเติมเต็มให้กับชีวิต หรือบางครั้งก็ได้คำถามเอามาถามตัวเอง ซึ่งบางคำถามแค่คิดก็มันส์แล้วครับ

อย่างเรื่อง Forget Paris นี่บอกได้เลยว่าเป็นหนังที่จับเอาเรื่อของชีวิตคู่มาเสียดสีจิกกัดและสะท้อนความจริงได้มันส์มาก ดีไม่ดีใครเคยผ่านชีวิตคู่มาแล้วอาจฮาทั้งน้ำตาครับ ยอมรับเลยว่า Crystal แกเข้าใจจับประเด็นมาเล่าได้อย่างฮา และน่าคิดอีกต่างหาก

Untitled07638

ส่วนหนังเรื่องนี้ผมก็ชอบครับ ชอบโทนของมัน ชอบดาราที่แสดงกันอย่างพอเหมาะ Crystal กับ Haddish ถือว่าเข้าขากันได้อย่างดี ส่วนประเด็นสำคัญของเรื่องก็คือการที่ชาร์ลีเองเริ่มจะแก่ตัว และเริ่มมีอาการหลงลืม เขาเลยอยากเก็บรักษาความทรงจำดีๆ เมื่อวันวานเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมถึงอยากจะฟื้นความสัมพันธ์กับลูกที่เขาห่างเหิน ว่ากันโดยประเด็นแล้วมันอาจจะไม่แปลกใหม่อะไรน่ะนะครับ แต่ประเด็นเดิมๆ เหล่านี้หากเล่าให้ถูกจังหวะ มันก็สามารถสร้างความรู้สึกดีๆ สร้างความประทับใจ หรือไม่ก็ทำให้คนดู Feel Good ได้ และหนังก็ถือว่าทำสำเร็จในระดับหนึ่งครับ

สาระสำคัญของหนังก็คือการกระซิบบอกกับเราว่า เวลาเป็นดั่งวารีครับ เมื่อไหลไปแล้วก็ไม่อาจคืนย้อนมา ดังนั้นเราจึงควรตระหนักอยู่กับปัจจุบัน ทำเวลานี้ให้ดีที่สุด มีสติให้มากที่สุด และแม้ว่า ณ นาทีนี้สิ่งที่เราทำไปหากมีผิดพลาดผิดผลั้ง ก็ควรเก็บมันมาเป็นบทเรียนเพื่อเรียนรู้สอนให้เราเติบโตขึ้น แต่อย่าปล่อยให้มันกลายมาเป็นโซ่ล่ามถ่วงชีวิตเราให้ย่ำอยู่กับที่ ถ่วงความรู้สึกเราให้จมจ่อมไปกับอดีตที่มิอาจแก้ไข

สิ่งที่เรามีจริงๆ ณ เวลานี้ ก็คงเป็น ณ เวลานี้น่ะครับ เพราะอดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง เรามีแต่ตอนนี้นี่แหละที่อยู่กับเราจริงๆ และเราพอจะจัดการอะไรกับมันได้จริงๆ

อีกอย่างที่ชอบคือความสัมพันธ์ระหว่างชาร์ลีและเอ็มม่า ยอมรับว่าระหว่างดูผมก็คิดเหมือนกันครับว่าเรื่องมันจะไปทางไหน มันจะกลายเป็นเรื่องรักต่างวัยไหม แต่เท่าที่ดูนี่ ผมว่าเพลง “ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน” น่าจะเหมาะกับสถานภาพของพวกเขาสุดแล้วครับ คือจะเป็นเพื่อนก็ได้ จะออกแนวคนรักก็ได้ มันคือสวนผสมของทั้งสองอย่าง แต่จุดสำคัญคือ พวกเขาสุขใขที่จะอยู่ด้วยกัน เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ผมว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักดีครับ

และดนตรีก็จัดว่าดีเลยครับ มาเป็น Jazz เบาๆ อารมณ์เหมือนดนตรีที่เรามักได้ยินในร้านกาแฟ อารมณ์มันผ่อนคลาย คลอไปกับหนังได้อย่างพอเหมาะ ก็เป็นฝีมือของ Charlie Rosen คอมโพเซอร์หน้าใหม่ แต่ดูทรงแล้วถือว่ามีแววดีทีเดียว

ก็เป็นอีกเรื่องที่แนะนำให้ดูครับ ใครชอบหนังเบาๆ ดูแล้วได้อารมณ์ขันพร้อมสาระชีวิต ผมว่าเรื่องนี้ตอบโจทย์นั้นครับ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7.5/10)