
หนังดราม่าเบาสมองแนวคู่หูต่างวัยที่มาค้นหาความหมายของชีวิตร่วมกันครับ คนหนึ่งก็คือนักเขียนบทละครตลกวัยดึกนามว่าชาร์ลี เบิร์นซ์ (Billy Crystal) ส่วนอีกคนคือนักร้องสาวคนรุ่นใหม่นามว่าเอ็มม่า เพจ (Tiffany Haddish) ที่พวกเขาได้มารู้จักกันโดยบังเอิญครับ แต่ไปๆ มาๆ ทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนต่างวัยที่คอยดูแลกันและกัน
เป็นหนังแนวโปรดอีกแนวของผมครับ ชอบอยู่แล้วหนังที่บอกเล่าชีวิตคน ตามด้วยสะท้อนมุมคิดต่างๆ แล้วเรื่องนี้ยังสะท้อนมุมมองของคนต่างวัยที่บางอย่างก็มองเหมือนและบางอย่างก็มองต่าง บอกตรงๆ ว่าผมเพลินกับหนังเรื่องนี้มากครับ บทสนทนาของเหล่าตัวเอกล้วนมีอะไรให้เก็บไปคิด บางอันก็สะท้อนสังคม บางอันก็ชี้ชวนให้เราย้อนมามองตนเอง ย้อนมาทบทวนตัวเราถึงสิ่งที่เคยทำไปแล้ว หรือไม่ก็กระตุ้นเตือนให้เราตระหนักคิดก่อนที่จะลงมือทำสิ่งอื่นต่อไปในอนาคต
หนังได้แรงบันดาลใจจากเรื่องสั้นชื่อ The Prize ของ Alan Zweibel แล้วจากนั้น Billy Crystal ก็ชวนเขามาแปลงจากเรื่องสั้นเป็นบทหนังด้วยกัน แล้ว Crystal ก็ลงมือกำกับเองด้วยครับ
ผมว่าผมนั้นก็เป็นแฟนของ Crystal นะครับ เพราะตามดูหนังของพี่แกมาตลอดโดยเฉพาะหนังที่เขาเขียนบท ผมรู้สึกว่าพี่เขาเป็นนักสังเกตชีวิต หลายมุกหลายประเด็นเลยที่ผมว่าไม่ใช่แค่นั่งเฉยๆ แล้วจะนึกออก มันต้องผ่านการคิด ผ่านการคุย ผ่านการไตร่ตรองจนตกผลึก กว่าจะกลั่นกรองออกมาเป็นมุกหรือเป็นประเด็นในฉากต่างๆ ได้
เวลาดูหนังของพี่เขาผมเลยมักจะสนุกครับ คือเรื่องมุกตลกก็สนุกอย่างหนึ่งล่ะ แล้วยังได้คิดตาม ได้อะไรบางอย่ามาเติมเต็มให้กับชีวิต หรือบางครั้งก็ได้คำถามเอามาถามตัวเอง ซึ่งบางคำถามแค่คิดก็มันส์แล้วครับ
อย่างเรื่อง Forget Paris นี่บอกได้เลยว่าเป็นหนังที่จับเอาเรื่อของชีวิตคู่มาเสียดสีจิกกัดและสะท้อนความจริงได้มันส์มาก ดีไม่ดีใครเคยผ่านชีวิตคู่มาแล้วอาจฮาทั้งน้ำตาครับ ยอมรับเลยว่า Crystal แกเข้าใจจับประเด็นมาเล่าได้อย่างฮา และน่าคิดอีกต่างหาก

ส่วนหนังเรื่องนี้ผมก็ชอบครับ ชอบโทนของมัน ชอบดาราที่แสดงกันอย่างพอเหมาะ Crystal กับ Haddish ถือว่าเข้าขากันได้อย่างดี ส่วนประเด็นสำคัญของเรื่องก็คือการที่ชาร์ลีเองเริ่มจะแก่ตัว และเริ่มมีอาการหลงลืม เขาเลยอยากเก็บรักษาความทรงจำดีๆ เมื่อวันวานเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมถึงอยากจะฟื้นความสัมพันธ์กับลูกที่เขาห่างเหิน ว่ากันโดยประเด็นแล้วมันอาจจะไม่แปลกใหม่อะไรน่ะนะครับ แต่ประเด็นเดิมๆ เหล่านี้หากเล่าให้ถูกจังหวะ มันก็สามารถสร้างความรู้สึกดีๆ สร้างความประทับใจ หรือไม่ก็ทำให้คนดู Feel Good ได้ และหนังก็ถือว่าทำสำเร็จในระดับหนึ่งครับ
สาระสำคัญของหนังก็คือการกระซิบบอกกับเราว่า เวลาเป็นดั่งวารีครับ เมื่อไหลไปแล้วก็ไม่อาจคืนย้อนมา ดังนั้นเราจึงควรตระหนักอยู่กับปัจจุบัน ทำเวลานี้ให้ดีที่สุด มีสติให้มากที่สุด และแม้ว่า ณ นาทีนี้สิ่งที่เราทำไปหากมีผิดพลาดผิดผลั้ง ก็ควรเก็บมันมาเป็นบทเรียนเพื่อเรียนรู้สอนให้เราเติบโตขึ้น แต่อย่าปล่อยให้มันกลายมาเป็นโซ่ล่ามถ่วงชีวิตเราให้ย่ำอยู่กับที่ ถ่วงความรู้สึกเราให้จมจ่อมไปกับอดีตที่มิอาจแก้ไข
สิ่งที่เรามีจริงๆ ณ เวลานี้ ก็คงเป็น ณ เวลานี้น่ะครับ เพราะอดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง เรามีแต่ตอนนี้นี่แหละที่อยู่กับเราจริงๆ และเราพอจะจัดการอะไรกับมันได้จริงๆ
อีกอย่างที่ชอบคือความสัมพันธ์ระหว่างชาร์ลีและเอ็มม่า ยอมรับว่าระหว่างดูผมก็คิดเหมือนกันครับว่าเรื่องมันจะไปทางไหน มันจะกลายเป็นเรื่องรักต่างวัยไหม แต่เท่าที่ดูนี่ ผมว่าเพลง “ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน” น่าจะเหมาะกับสถานภาพของพวกเขาสุดแล้วครับ คือจะเป็นเพื่อนก็ได้ จะออกแนวคนรักก็ได้ มันคือสวนผสมของทั้งสองอย่าง แต่จุดสำคัญคือ พวกเขาสุขใขที่จะอยู่ด้วยกัน เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ผมว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักดีครับ
และดนตรีก็จัดว่าดีเลยครับ มาเป็น Jazz เบาๆ อารมณ์เหมือนดนตรีที่เรามักได้ยินในร้านกาแฟ อารมณ์มันผ่อนคลาย คลอไปกับหนังได้อย่างพอเหมาะ ก็เป็นฝีมือของ Charlie Rosen คอมโพเซอร์หน้าใหม่ แต่ดูทรงแล้วถือว่ามีแววดีทีเดียว
ก็เป็นอีกเรื่องที่แนะนำให้ดูครับ ใครชอบหนังเบาๆ ดูแล้วได้อารมณ์ขันพร้อมสาระชีวิต ผมว่าเรื่องนี้ตอบโจทย์นั้นครับ
สองดาวครึ่งครับ
![]()
(7.5/10)
หมวดหมู่:Comedy, Drama, Movie Reviews, Music, Recommended Movies










