Chinese/Hong Kong/Taiwan Movies

สาปสะพานสยอง โรงเรียนผีเฮี้ยน (2023) The Bridge Curse: Ritual

Untitled07583

และนี่คือภาคต่อของ สาปสะพานสยอง หรือ คำสาปสะพานเฮี้ยน ครับ – ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ใช้ชื่อให้เป็นอันเดียวกันไปเลย จะได้ไม่ต้องงง

หนนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นในปี 2019 ครับ โดยสถานที่อาถรรพ์ประจำภาคก็คืออาคารต้าเหริน เป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นเป็นรูปยันต์แปดเหลี่ยมกลับทิศ เลยส่งผลให้มีวิญญาณถูกกักในอาคารแห่งนี้มากมาย โดยก่อนหน้านี้ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาทดลองทำพิธีกรรมในลิฟต์ จนส่งผลให้เขาตกอยู่ในสภาวะโคม่า

ส่วนพล็อตหลักของเรื่องจะโฟกัสไปที่อาถิง (Wang Yu Xuan) น้องสาวของเด็กหนุ่มที่โคม่านั้นที่กำลังพัฒนาเกมออนไลน์กับเพื่อนอยู่ โดยพวกเขาต้องเล่นเกมนั้นในอาคารต้าเหริน แล้วก็แน่นอนล่ะครับว่าพวกเขาต้องเผชิญกับอาถรรพ์ที่อยู่ในอาคารนั้น นอกจากนี้อาถิงเองก็ยังอยากจะไขปริศนาหาคำตอบ เพราะเธอเชื่อว่าวิญญาณของพี่เธอยังคงอยู่ที่ใดที่หนึ่งในอาคารแห่งนี้

ไปๆ มาๆ ผมชอบภาคนี้แฮะ คือไม่ถึงกับชอบมากมายน่ะนะครับ แต่ก็อยู่ในข่ายชอบ – มาครับ มาฟังเหตุผลกัน

ตอนแรกที่ดูผมก็รู้สึกแปร่งๆ อยู่บ้างน่ะครับ แต่พอดูไปสักพักก็จับทางได้ เลยกลายเป็นสนุกไปกับมันแทน – ตอนแรกผมก็ตั้งหลักว่าหนังจะออกมาในแนวคำสาปอาถรรพ์ ผีไล่ฆ่าสยองๆ แต่กลายเป็นว่าจริงๆ หนังน่ะออกแนวสยองขวัญแฟนตาซีครับ ว่าง่ายๆ คือไม่ได้เน้นสยองไม่ได้เน้นโหด แต่จะเป็นว่าเรื่องราวผีสางคำสาปทั้งหลายน่ะคือสิ่งที่พวกตัวเอกต้องผจญภัย ต้องหาทางสู้กับผี และแก้ปริศนาในอาคารให้ได้

มันคือสไตล์เที่ผมคุ้นเคยของหนังผีจีน-ฮ่องกง-ไต้หวันสมัยก่อนน่ะครับ คือหนังจะออกมาโทนสยองก็จริง แต่ก็จะผสมความเบาสมองลงไป ไม่ได้เน้นให้คนดูกลัวแบบเอาเป็นเอาตาย แล้วก็จะมีการปรับคาแรคเตอร์ของผีในเรื่องให้ดูแฟนตาซีนิดๆ หรืออีกนัยหนึ่งคือให้ดูเป็นเหมือนบอสในเกมที่ตัวเอกต้องหาทางพิชิต

แล้วหนังสไตล์นี้ก็จะต้องมีไอเท็มครับ เป็นไอเท็มที่ตัวเอกใช้ในการสู้กับผี ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ก็คือตะเกียงที่จะมีกฎ กติกา และรายละเอียดเพื่อเพิ่มความลุ้น พูดง่ายๆ คือใช่ว่ามีตะเกียงแล้วจะจบ แต่มันจะต้องมีปัญหาว่าตะเกียงจะหมดฤทธิ์ถ้าอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วตัวเอกก็ต้องหาทางแก้ หาทางชุบพลังตะเกียง

แล้วยังมีจุดที่เข้าทางผมอีก 2 จุดครับ ซึ่งถ้าจะพูดถึงมันก็คือการสปอยล์ แต่ก็ต้องขอพูดสักหน่อย

Untitled07584

============
สปอยล์ล่ะนะครับ
============

จุดแรกคือ ผมชอบที่ไหนๆ มันจะแฟนตาซีแล้ว ก็แฟนตาซีให้สุดไปเลย หนังเลยมีประเด็นห้วงเวลามาเกี่ยว ประมาณว่าพวกตัวเอกกึ่งๆ ย้อนเวลาได้ ซึ่งเป็นการช่วยอธิบายอะไรแปลกๆ หลายอย่างที่เราเห็นในตอนต้น และการย้อนเวลาที่ว่าก็มาพร้อมเงื่อนไขลุ้นๆ ให้ตัวเอกแก้ปัญหาเรื่องตะเกียง – พูดก็พูดนะครับ ดูแล้วนึกถึง Back to the Future และ Harry Potter ภาค 3 เลย – แต่ผมก็ไม่ว่าอะไร เพราะแม้มันจะไม่ใช่อะไรที่ใหม่ แต่การเอาปมเรื่องเวลามาใช้ก็ทำให้หนังดูมีอะไรมากขึ้น และทำให้การผจญภัยในตอนท้ายดูมีรายละเอียด – คล้ายหนังปราบผีสมัยก่อน

จุดต่อมาคือ ความเสียสละและความซาบซึ้งครับ อันนี้ผมว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างของหนังผีจีน-ฮ่องกง-ไต้หวันนะ เราจะได้เห็นฉากที่ตัวละครเสียสละอยู่บ่อยๆ ซึ่งก็มักจะส่งผลต่อความรู้สึกคนดูไม่มากก็น้อย และเวลาที่มีฉากเสียสละทำนองนี้กับหนังเรื่องไหน ผมก็มักจะรู้สึกเชิงบวกกับหนังเรื่องนั้นเพิ่มขึ้น อาจเพราะมันแอบ Feel Good – นำเสนอแง่มุมที่ดีของมนุษย์ หรืออาจเพราะมันชวนให้เราเกิดความรู้สึกกินใจ – การที่ใครสักคนยอมตายเพื่อใครสักคนอย่างเต็มใจนั้น เป็นอะไรที่เปี่ยมความหมายครับ

============
============

ผมไม่ปฏิเสธครับว่าหนังอาจยังไม่กลมกล่อมถึงรสแบบเต็มๆ และบางเรื่องบางประเด็นถ้าลองมาคิดดีๆ ก็อาจเห็นช่องโหว่ของบท แต่พอดีหนังมันเข้าทางผมน่ะครับ ด้วยความบันเทิงและความเพลินที่ผมได้รับ สิ่งที่พรั่งพรูในหัวผมหลังดูเลยเป็นความสนุกความเพลินมากกว่า แต่ที่ผมเล่าละเอียดนั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ท่านเห็นภาพน่ะครับ ท่านจะได้ทราบก่อนดูว่ากำลังจะได้เจอกับอะไร จะได้ปรับอะไรๆ ก่อนดู และขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสาส์นถึงคอหนังผีจีน-ฮ่องกง-ไต้หวันเก่าๆ ว่าหนังเรื่องนี้ใส่อะไรที่เราคุ้นเคยลงมาด้วยนะ อาจจะไม่เด็ดขาดลงตัวมากมาย แต่ก็ใช้ได้ พอให้หายคิดถึง

และผมก็คงตามรอดูหนังภาคต่อไปครับ เพราะถ้าจำกันได้จริงๆ ภาคแรกก็ทิ้งเชื้อไว้นะ มาภาคนี้ก็เผยอะไรบางอย่างนิดหน่อย แต่ปมหลักๆ ยังไม่เฉลยครับ ก็ต้องตามดูกันต่อไป

สองดาวกว่าครับ

Star21

(6.5/10)