Comedy

The Long Goodbye (1973) เดอะ ลอง กู๊ดบาย

Untitled07504

ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันนี้ของ Raymond Chandler ครับ ตัวเอกคือ ฟิลิป มาร์โลว์ (Elliott Gould) นักสืบเอกชนที่ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีที่เพื่อนเก่าของเขา เทอร์รี่ เลนเน็กซ์ (Jim Bouton) ถูกกล่าวหาว่าฆ่าภรรยาตนเอง แล้วในกาลต่อมาเทอร์รี่ก็ตายไปอีก อะไรเหล่านี้ทำให้มาร์โลว์รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล และคนอย่างเขาก็ไม่ชอบปล่อยให้อะไรมันเป็นปริศนาคาราคาซังซะด้วย

อารมณ์ของหนังนี่ถือว่าใช่เลยครับ หนังของมาร์โลว์ควรจะประมาณนี้แหละ ดูกึ่มๆ นัวร์ๆ อารมณ์เหมือนเราตื่นขึ้นมาดูตอนตีสองน่ะครับ และเป็นควมตั้งใจของผู้กำกับ Robert Altman ด้วยที่ถ่ายทำโดยให้กล้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอด จุดประสงค์ก็เพื่อให้คนดูรู้สึกประหนึ่งกำลังแอบดู ทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไป

และหน้าหนังแม้จะออกแนวสืบสวน แต่เอาเข้าจริงหนังไม่ได้มาตามสูตรหนังสืบสวนไขคดี แต่จะออกแนวเป็นหนังดราม่าตามติดชีวิตของมาร์โลว์ที่อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเพศ เรื่องยา และความรุนแรง วันนี้อาจเจอตำรวจมาหาเรื่องยัดเขาเข้าซังเต อีกวันก็อาจเจอลูกค้าที่ดูมีอัธยาศัยดี คุยสนุกไปจนดึกดื่น แต่วันถัดไปก็อาจโดนพวกเจ้าพ่ออันธพาลมาหาเรื่องข่มขู่ถึงบ้าน ซึ่งถือเป็นรสชาติที่เฉพาะทางและมีความสดพอตัวครับ เพราะระหว่างดูนี่มันยากจะคาดเดาว่ามาร์โลว์จะต้องเจอกับเรื่องอะไรในฉากต่อไป

ผมชอบสไตล์การแสดงเป็นมาร์โลว์ของ Gould ที่ไม่ได้ดูเป็นพระเอกจ๋าสุดเท่ห์ แต่ดูเป็นคนธรรมดาที่ผิดได้พลาดเป็น บางทีก็ทำอะไรโดยยึดตัวเองเป็นหลัก พร้อมจะแข็งขืนขัดแข้งขัดขาใครต่อใคร แต่บางทีก็โอนอ่อนไปตามสถานการณ์เพื่อเอาตัวรอด ทำให้มิติของมาร์โลว์ในฉบับนี้ดูมีความหลากหลาย ดูมีเลือดมีเนื้อ และมีความน่าสนใจกว่าตัวละครนักสืบเชลยศักดิ์เรื่องอื่นๆ ว่าง่ายๆ คือไม่ซ้ำใครน่ะครับ

เหตุผลหนึ่งที่หนังมีรสชาติแตกต่างจากหนังสืบสวนเรื่องอื่น ก็เพราะหลายฉากหลายตอนเป็นการด้นสดของนักแสดงครับ อย่างฉากที่มาร์โลว์เอามือที่เปื้อนหมึกมาปาดหน้าตัวเองจนเลอะตอนโดนสอบสวน นั่นก็เป็นไอเดียของ Gould เอง หรือตอนที่โรเจอร์ เวด (Sterling Hayden) กับมาร์โลว์ดื่มไปคุยไป ฉากนั้นก็ด้นสดเช่นกัน และเหตุผลที่ Hayden ดูเหมือนคนเมาจริงๆ นั่นก็เพราะพี่ท่านเสพกัญชาเข้าไปจริงๆ ครับ และเกือบทุกฉากที่เขาแสดง ถ้าไม่ด้นขึ้นสดๆ พี่เขาก็จะวางแนวทางในการแสดงเอง

แล้วทางของผู้กำกับ Altman ในสมัยนั้นก็ออกแนวไร้กระบวนท่าครับ เขาจะใส่โน่นใส่นี่เข้ามาตามแต่ไอเดียจะพาไป หรือไม่ก็เห็นว่ามันเหมาะสม อย่างเหตุการณ์ตอนเปิดเรื่องที่ว่าด้วยมาร์โลว์และแมวของเขานั้นก็เอามาจากเรื่องที่ Altman เคยได้ยินมาจากเพื่อนครับ (ที่แมวจะกินแต่อาหารกระป๋องยี่ห้อนี้เท่านั้น ถ้าเป็นยี่ห้ออื่นไม่กิน)

Untitled07505

หรือไอเดียหนึ่งที่จัดว่าเท่ห์และทำให้หนังมีความเด่นขึ้นมาในทันทีตั้งแต่ต้นเรื่องก็คือการที่ Altman ใส่ลูกเล่นตอนเปิดเพลงประกอบที่ชื่อ The Long Goodbye – ทีเด็ดคือเพลงในแต่ละฉากตอนต้นเรื่องนั้นเป็นเพลง The Long Goodbye เหมือนกัน แต่เป็นคนละเวอร์ชั่นครับ ประมาณว่าฉากหนึ่งก็จะเป็นเวอร์ชั่นที่ 1 แต่พอตัดไปอีกฉาก เพลงก็ยังบรรเลงต่อเนื่องกัน แต่เปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นที่ 2 แล้วพอเปลี่ยนฉากอีกเพลงก็จะยังเล่นต่อ แต่เปลี่ยนไปเป็นเวอร์ชั่้นที่ 3 ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนตอนดูอาจงงว่าตัวเองหูเพี้ยนฟังผิดไปหรือเปล่า หรืออาจสงสัยว่าทำไมเพลงมันดูเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นั่นก็เป็นเพราะลูกเล่นเท่ห์ๆ ที่ Altman ใช้นี่แหละครับ

และเพลง The Long Goodbye นี่ก็เพราะมากครับ เป็นการประพันธ์ร่วมกันระหว่าง John Williams และ Johnny Mercer ท่งทำนองของเพลงเลยมาพร้อมความละมุนผสม Jazz กรุ่นๆ จนบอกได้เลยว่าใครชอบ Jazz ควรได้ลองฟังสักครั้งครับ – ฟังมันทุกเวอร์ชั่นนั่นแหละ 5555

และถ้าถามว่าผมรู้สึกแสบสันต์ฉากไหนสุดระหว่างดู ก็ขอยกให้ฉากที่กล้องจับภาพตอนหมาทำอะไรกันหน้ากล้องนั่นแหละครับ คือถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นฉากนี้เราคงไม่ได้เห็น แต่เพราะเป็นเรื่องนี้ (ที่มาพร้อมสไตล์กำกับแบบแนวๆ) เราเลยจะได้เห็นมาร์โลว์เดินผ่านสุนัข 2 ตัวที่กำลังจะอะไรกัน และแทนที่กล้องจะจับภาพมาร์โลว์เดินต่อ แต่กลายเป็นกล้องหันมาจับภาพหมาทำอะไรกันแทน – ซึ่งคนรับหน้าที่กำกับภาพประจำเรื่องนี้ก็คือ Vilmos Zsigmond ที่ได้ออสการ์ไปจาก Close Encounters of the Third Kind

มาครับ มาฟังเกร็ดหนังกันอีกนิด แรกเริ่มเดิมทีคนที่ได้รับการทาบทามให้มากำกับคือ Howard Hawks (ที่เคยกำกับ The Big Sleep อีกหนึ่งหนังมาร์โลว์ที่แสดงโดย Humphrey Bogart) และอีกคนคือ Peter Bogdanovich แต่ทั้งคู่ก็บอกปัดไป แต่ Bogdanovich นี่แหละเป็นคนแนะนำให้ทีมงานไปทาบทาม Robert Altman

และในหนังเราจะได้เห็นหน้าดาราอย่าง David Carradine โผล่มารับเชิญเป็นเพื่อนร่วมคุกเคราเฟิ้ม ตอนที่มาร์โลว์โดนขังช่วงต้นเรื่อง และเรายังจะได้เจอ Arnold Schwarzenegger แสดงเป็นหนึ่งในลูกน้องของมาร์ตี้ ออกัสทีน (Mark Rydell) เจ้าพ่อที่มาคาดคั้นเอาเรื่องกับมาร์โลว์ แต่ในเรื่องนี่พี่ Arnold ไม่มีบทพูดครับ โชว์กล้ามโชว์ล่ำอย่างเดียว

สรุปเป็นอีกหนึ่งหนังฟิล์มนัวร์คลาสสิคที่น่าดูครับ มีรสชาติกลมกล่อมในแบบของตัวเอง มีเอกลักษณ์ต่างจากคนอื่น ซึ่งผมไม่อาจการันตีได้ว่าท่านจะชอบหรือไม่น่ะนะครับ บอกได้แต่ว่าต้องลองน่ะครับ ถ้าเฉยก็เฉย แต่ถ้าชอบก็น่าจะชอบ… ชอบมากเลยด้วย

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

Star22

(7.5/10)