Action

Sniper: Rogue Mission (2022) สไนเปอร์: ภารกิจล่าข้ามชาติ

Untitled07456

ผมอาจจะต๊องไปแล้วน่ะนะครับ แต่ผมว่าผมชอบภาคนี้แฮะ – และต้องบอกก่อนว่าบทความนี้เขียนตามความชอบส่วนตัวของผมอย่างแรง ไม่เป็นกลางแน่นอนครับ ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ

สิ่งแรกที่ต้องบอกเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือ นี่เป็นภาคที่ 9 แล้วครับของ หนังชุด Sniper และภาคนี้มีความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือโทนหนังเปลี่ยนไปจากเดิม ของเดิมนั้นโทนจะมาในแนวแอ็คชั่นระทึกขวัญ มีความจริงจัง แต่ภาคนี้โทนพลิกไปเป็นแอ็คชั่นแบบเบาสมอง มีอารมณ์ขัน มีความยียวนกวนๆ ถ้าพูดให้ชัดคือหนังทำให้นึกถึง Ocean’s Eleven น่ะครับ โทนมันจะเบาๆ ยวนๆ กวนๆ แบบนั้นเลย

แล้วสิ่งที่ทำให้นึกถึง Ocean’s มากขึ้นไปอีกคือดนตรีครับ มาอารมณ์เดียวกับ Ocean’s เลย และอยากบอกว่าคนทำดนตรี, คนเขียนบท และคนกำกับหนังเรื่องนี้คือคนๆ เดียวกันครับ เขาคือ Oliver Thompson ที่เคยเขียนบทภาคที่แล้ว (Sniper: Assassin’s End) พอมาภาคนี้พี่แกคุมเองหมด แล้วโทนก็เปลี่ยนไปอย่างที่บอกนี่แหละ

และก่อนที่ผมจะดูภาคนี้นั้น ผมรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วครับ รู้ว่าหนังมีการเปลี่ยนโทนและแน่นอนว่ามีเสียงก่นด่าภาคนี้ออกมาอย่างเยอะ โดยเฉพาะแฟนหนังชุดนี้หลายๆ ท่านที่ไม่โอเค หรือถึงขั้นรับไม่ได้ก็มี ซึ่งอันนี้ผมก็พอเข้าใจนะครับ ถ้าลองเป็นผมที่ติดตามหนังชุดหนึ่งมาตั้งหลายภาคและชอบในแนวทางของมันมากๆ แล้วจู่ๆ มีคนเปลี่ยนโทนหนังไปแบบนี้ ผมก็อาจรู้สึกไม่โอเคเหมือนกัน

แต่พอดีว่าผมไม่ใช่แฟนหนังชุดนี้ครับ 555 คือที่ตามดูครบทุกภาคนี่คือหน้าที่ล้วนๆ ไม่ได้เพราะชื่นชอบหรืออะไรมากมาย เลยทำให้พอหนังเปลี่ยนโทนผมเลยไม่ได้รู้สึกแย่อะไร และกลายเป็นว่าผมรู้สึกชอบซะอีกเพราะโทนมันเข้าทางผมน่ะครับ เป็นหนังแอ็คชั่นเบาๆ กวนๆ สไตล์ Ocean’s แล้วผมว่า Thompson คุมหนังให้ไปในแนวทางนั้นได้อย่างน่าพอใจซะด้วย

พล็อตเรื่องภาคนี้เกี่ยวกับการค้ามนุษย์ครับ มีกลุ่มคนลักพาหญิงสาวจากที่ต่างๆ มาขายบริการผ่านออนไลน์ ซึ่งซีค โรเซนเบิร์ก (Ryan Robbins) หรือซีโร่น่ะกำลังตามสืบเรื่องนี้ และเบาะแสก็ชี้ไปที่ฮาร์วีย์ คูซามาโน่ (Paul Essiembre) เจ้าหน้าที่ระดับสูงใน CIA โดยซีโร่ขอให้ แบรนดอน เบคเกตต์ (Chad Michael Collins) ช่วยตามดูคูซามาโน่ให้หน่อย จนส่งผลให้แบรนดอนโดนพักงานครับ

แต่ทีนี้ในการกวาดล้างแหล่งค้ามนุษย์รอบล่าสุด ซีโร่พบว่ามีผู้หญิงหลายคนถูกฆ่าตายเพื่อลบร่องรอยหลักฐาน แต่มีหญิงสาวคนหนึ่งรอดมาได้ เธอคือแมรี่ เจน (Jocelyn Hudon) ซีโร่เลยติดต่อแบรนดอนให้มาช่วยกันคุ้มกันเธอ และเพื่อความปลอดภัยขั้นสุดพวกเขาเลยไปขอความช่วยเหลือจาก เลดี้เดธ (Sayaka Akimoto) อีกแรง

Untitled07457

นอกจากชื่อที่กล่าวไปแล้ว ภาคนี้เรายังจะได้พบกับ Dennis Haysbert กลับมารับบท “ท่านผู้พัน” หัวหน้าของแบรนดอน ที่คราวนี้เราจะได้รู้ชื่อจริงของเขาด้วยครับ เขามีนามว่า เกเบรียล สโตน ครับ และอีกหนึ่งตัวละครที่มาฮาแบบเนียนๆ ก็คือสายลับพีท (Josh Brener) เนิร์ดเซียนคอมที่ต้องมาช่วยเหล่าตัวเอกแบบไม่ทันตั้งตัว

กลายเป็นว่าผมรับได้ครับ และกลายเป็นว่าผมสนุกกับหนังด้วยนะ คือโทนมันออกแนวฮา แต่ก็ไม่ได้เลอะเทอะนะครับ คือมันดูเบาๆ น่ะแหละ แต่เนื้อเรื่องยังมี ทิศทางยังมี มุกตลกก็หยอดลงไปแบบพอเหมาะ ไม่ได้ไร้แก่นสารอะไรขนาดนั้น แต่ที่ผมนับถืออย่างหนึ่งคือตัวละครแต่ละคนพอเปลี่ยนโทนแล้วมันดันไปกันได้ซะอีกแน่ะ อย่างซีโร่นี่ดูกวนๆ ขำๆ ตั้งแต่ภาคที่แล้ว มาภาคนี้บทของเขาเลยดูมาพร้อมชีวิตชีวามากขึ้น

และกลายเป็นว่าผมชอบแบรนดอนมากขึ้นนะ เพราะภาคก่อนๆ ผมว่าแบรนดอนดูไม่ค่อยเด่น ดูไม่ค่อยมีคาแรคเตอร์ ดูทื่อๆ นิ่งๆ จนผมมักเขียนเสมอว่า “การแสดงของตัวเอกดูกลางๆ” แต่มาภาคนี้ผมว่าพี่แกไปได้กับบทเบาๆ แบบนี้ครับ ตัวแบรนดอนดูมีอะไรขึ้นเยอะ ส่วนเลดี้เดธนี่จะว่าหักจากคาแรคเตอร์เดิมก็หักอยู่ครับ แต่ผู้กำกับ Thompson แกสามารถคุมโทนของตัวละครนี้ให้เข้ากันกับโทนหนังได้

ผมสนุกกับภาคนี้ครับ อันนี้ยอมรับเลย มันดูเพลิน โทนมันลั้ลลา ดนตรีมันเร้าอารมณ์ให้ครื้นเครง และจังหวะในการเล่า รวมถึงฉากแอ็คชั่นก็พอมันส์พอไปกันได้ ซึ่งก็ต้องบอกเลยนะครับว่าถ้าใครชอบธีมจริงจังแบบภาคก่อนๆ ผมว่าท่านก็น่าจะไม่พอใจกับภาคนี้น่ะครับ แต่หากท่านใดที่ชอบหนังแอ็คชั่นเบาๆ ขำๆ เพลินๆ ที่มาพร้อมดนตรีสไตล์ Ocean’s นะ ผมก็ขอแนะนำเรื่องนี้ให้ท่านลองชมเลยครับ ผมว่าท่านน่าจะเพลินไปกับมันน่ะ – อีกอย่างนะครับ ผมว่าบทสนทนาในเรื่องน่ะ คนเขียนเขาต้องคิดมาพอตัว มันฟังดูลื่นดีครับ บางทีก็แฝงฮา บางเวลาก็แฝงเท่ห์ ถือว่าใช้ได้เลย

พูดก็พูดนะครับ ผมยังจำความรู้สึกตัวเองตอนดู Sniper ภาคก่อนๆ ได้ คือระหว่างดูมันจะต้องใช้ความอึดหน่อย เพราะบางฉากมันก็เรื่อยๆ บางช่วงมันก็ช้าๆ จนถ้าทนไม่ไหวก็ต้องใช้ปุ่มกรอเดินหน้าช่วย แต่สำหรับภาคนี้ผมดูแบบยิงยาวครับ ไม่กรงไม่กรออะไรทั้งนั้น รู้สึกตัวเองเพลินแบบเต็มที่ และยังรู้สึกผ่อนคลายอีกต่างหาก

ก็ต้องแล้วแต่แล้วล่ะครับ ผมเชื่อว่าถ้าท่านอ่านมาถึงบรรทัดนี้ ท่านน่าจะได้คำตอบแล้วว่าหนังเหมาะสำหรับท่านหรือไม่ เอาเป็นว่าถ้าท่านชอบโทนจริงจังแบบภาคก่อนๆ และรู้ตัวว่าคงรับไม่ได้แน่ๆ ถ้าหนังเปลี่ยนโทนไปเป็นเบาๆ ก็แนะนำให้ข้ามไปครับ จะได้ไม่ต้องดูแล้วเสียความรู้สึก

แต่หากใครชอบหนังแอ็คชั่นเบาๆ หรือพออ่านที่ผมเขียนแล้วรู้สึกว่าหนังน่าจะเข้าทาง ก็จัดไปได้เลยครับ

สองดาวบวกๆ (แบบบ้าๆ) ครับ

Star21

(6.5/10)