Horror

Disquiet (2023) กระสับกระส่าย

Untitled07387

Disquiet เป็นหนังลึกลับซ่อนปริศนาหลอนๆ ครับ บอกได้คร่าวๆ ว่าถ้าใครผ่านหนังแนวนี้มาเยอะๆ ก็อาจจะเดาได้ และอาจเฉยกับหนัง ในขณะที่ผมนั้นก็ดูไปกรอไปเหมือนกันครับ เพราะจังหวะการเดินเรื่องค่อนข้างช้าไปนิด โดยส่วนตัวผมว่าหนังเหมาะกับการทำเป็นตอนสั้นๆ ลงใน The Twilight Zone น่ะครับ สัก 45 นาทีคงพอดี ทีนี้พอยืดเรื่องให้ยาวมันเลยมีส่วนเกินที่ทำให้หนังดูเยิ่อเย้อ ไม่เร้าระทึกอย่างที่ควรจะเป็น

ตัวเอกคือ แซม (Jonathan Rhys Meyers) ที่ประสบอุบัติเหตุรถชน แล้วก็ถูกส่งตัวมาโรงพยาบาล ทีนี้ตอนเขาตื่นขึ้นมานั้นเขาก็เจอเรื่องแปลกๆ สารพัด ไม่ว่าจะบรรยากาศในโรงพยาบาลที่ดูอึมครึมและเหมือนจะไม่สามารถหาทางออกได้ ไหนจะมีคนแปลกๆ มาไล่ฆ่าเขาอีก เขาเลยต้องพยายามหาคำตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ถ้าผมบอกว่าหนังเหมือนเรื่องอะไรนี่หลายท่านคงเดาเรื่องได้เลยล่ะครับ เอาเป็นว่าถ้าใครอ่านเนื้อเรื่องแล้วสนใจ จะลองดูก็ได้ไม่ว่ากัน เป็นไปได้ว่าท่านที่ไม่เคยดูหนังพล็อตแบบนี้มาก่อนอาจจะสนุกไปกับมันน่ะครับ แต่ใครคุ้นกับพล็อตแบบนี้ก็ขอให้ลดความคาดหวังก่อนดูเยอะๆ ครับ แต่ผมก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าท่านจะโอเคกับหนังไหมน่ะนะครับ ส่วนผมนี่ดูเอาบรรยากาศครับ มันดูหลอนๆ ดี แล้วส่วนหนึ่งก็อย่างที่บอกครับว่าผมดูไปกรอเดินหน้าไปด้วย มันเลยดูได้เรื่อยๆ – ถ้าต้องให้ทนดูแบบไม่กรอเลยนี่ก็อาจจะเบื่ออยู่เหมือนกัน

อีกส่วนที่ทำให้ผมพอจะเพลินกับหนังได้บ้างคือนักแสดงครับ Meyers นั้นถือว่าแสดงได้โอเคตามมาตรฐาน แล้วก็ได้เจอดาราหน้าคุ้นอย่าง Lochlyn Munro ที่หากใครตามอ่านรีวิวผมบ่อยๆ น่าจะคุ้นกับชื่อนี้ เพราะผมพูดถึงพี่แกบ่อยๆ แล้วช่วงนี้พี่แกก็เล่นหนังเกรดบีบ่อยด้วยครับ รายนี้ผมว่าก็แสดงได้โอเคอยู่แล้ว และอีกคนที่แสดงได้ดีก็คือ Garry Chalk ที่แสดงเป็นเวอร์จิล ชายบนรถเข็น รายนี้ก็เป็นนักแสดงสมทบมืออาชีพครับ เล่นหนังเล่นซีรี่ส์มามากมาย มีผลงานร่วมๆ 400 ชิ้นได้ สำหรับผมแล้วการแสดงของเขาถือว่าทำให้หนังดูโอเคขึ้นเหมือนกัน

Untitled07388

หนังกำกับโดย Michael Winnick ที่ไปๆ มาๆ ผมได้ดูหนังของเขาหลายเรื่องอยู่ครับ เรื่องแรกเลยคือ Deuces (2001) หนังลึกลับผสมไซไฟซึ่งตัวหนังอาจไม่เท่าไร แต่สาวๆ สวยครับ (5555) และปมสำคัญของหนังจริงๆ ก็ถือว่าโอเค เพียงแต่การนำเสนอยังไม่ลื่นนัก แล้วก็ต่อด้วยเรื่อง Code of Honor ที่พี่ Steven Seagal แสดง เรื่องนี้ก็ถือว่าพอได้สำหรับหนังระยะหลังของพี่ Seagal มีหักมุมอะไรนิดหน่อยให้หนังพอมีอะไร และอีกเรื่องก็ Malicious (2018) ที่ถือว่าโอเคอยู่ แต่ก็ไม่ถึงขั้นห้ามพลาด

สิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือหนังที่ Winnick นั้นเขาจะเขียนบทเองเสมอครับ อย่าง 3 เรื่องนั้นและเรื่องนี้ก็ใช่ ซึ่งในแง่ไอเดียของเขานั้นนับว่ามีจุดน่าสนใจครับ ทุกเรื่องมีจุดขายที่น่าสนใจทั้งสิ้น เพียงแต่มันจะมาพร่องตรงการเล่าเรื่องระหว่างทางนี่แหละครับ ที่ยังเล่าได้ไม่สนุกแบบเต็มๆ แต่กระนั้นหนังก็จะไม่ถึงกับแย่จนเกินรับครับ ยังพอดูได้ เพียงแค่ยังดีได้อีกเยอะเท่านั้นแหละ

====================
ถึงตรงนี้ต้องขอสปอยล์หน่อยนะครับ
ไม่อยากทราบข้ามไปได้เลยครับ
====================

หนังมาทางเดียวกับ Jacob’s Ladder เลยครับ หลายอย่างนี่เอามาจากเรื่องนั้นแน่ๆ อย่างผีไม่มีหน้านี่อย่างหนึ่งล่ะ แล้วพล็อตแบบนี้มันใช่เลยล่ะครับ แล้วนอกจากนี้หนังยังอิงถึง Dante’s Inferno ด้วย อย่างตัวละครที่ชื่อ เวอร์จิลนั่นก็ใช่เลยอีกเหมือนกัน สารภาพเลยครับว่าเดาอะไรๆ ได้ตั้งแต่รู้พล็อตแล้ว – นี่หมายถึงตั้งแต่ก่อนดูเลยนะครับ คือแค่รู้พล็อตก็กะแล้วว่าคงมาแนวนี้ – ตัวเอกติดอยู่ในโซนกลางระหว่างความเป็นและความตาย แล้วตอนท้ายก็ต้องลงเอยด้วยความตาย

บอกได้เลยว่าถ้าอยากดูพล็อตแบบนี้ที่เวิร์กๆ ผมแนะนำ Jacob’s Ladder ครับ อร่อยกว่า ระทึกกว่า หลอนกว่า

====================

สรุปว่าต้องแล้วแต่ท่านครับ ถ้าใครไม่เคยเจอหนังที่มีพล็อตแบบนี้แล้วอยากลอง ผมว่าก็ลองได้ครับ หรือถือกระหายหนังพล็อตแบบนี้ จะลองเสพเอาสนุกก็ได้เช่นกัน เพียงแต่ต้องทำใจในระดับหนึ่งครับว่าหนังไม่ได้เด็ดมาก อย่าคาดหวังเยอะน่ะครับว่าง่ายๆ

ดาวครึ่งได้ครับ

Star12

(5/10)