
อาจเพราะผมได้รับรู้มาก่อนดูว่าหนังเรื่องนี้ได้รับเสียงโห่เชิงลบในระดับที่เยอะอยู่ เลยดูแบบขำๆ ไม่คิดไม่คาดอะไรทั้งนั้น รู้แค่มีดาราอย่าง Jon Voight และ Jonathan Rhys Meyers ร่วมแสดง และกำกับโดย Sean McNamara เจ้าของผลงานแนวสร้างแรงบันดาลใจที่ผมชอบอย่าง Soul Surfer และ Spare Parts
หนังเล่าถึงครอบครัวตระกูลเบตส์ที่ร่ำรวยและมั่งคั่ง ทีนี้เอลลิสัน (Jon Voight) ผู้เป็นพ่อก็จัดงานรียูเนียนให้ลูกๆ กลับมาเจอกัน แต่กลายเป็นว่าจู่ๆ คฤหาสน์หลังโตก็ถูกปิดตาย และมีใครก็ไม่รู้มาสั่งให้ทุกคนในบ้านต้องเล่นเกมไขปริศนาฆาตกรรม ถ้าใครไม่เล่นก็ต้องตาย และตามกติกาแล้วเกมนี้จะมีผู้รอดชีวิตได้เพียงคนเดียว
สิ่งแรกที่เด้งขึ้นมาในหัวคือหนัง Escape Room ตามด้วยเรื่องราวสไตล์ Whodunit แบบ Agatha Christie แล้วก็นึกถึงโคนันที่มักจะไปเจอเรื่องทำนองนี้อยู่บ่อยๆ ซึ่งหนังก็ผสมอะไรเหล่านั้นลงไปอย่างละนิดละหน่อยครับ แล้วก็บวกความเป็น Saw ใส่ลงไปด้วย เพราะมันจะมีกับดักมรณะให้ผู้เล่นต้องแก้อยู่เหมือนกัน
ว่าตามจริงผมชอบพล็อตนะครับ ชอบตรงปมหลักของหนังตอนเฉลยที่มาที่ไปของเรื่องราว ซึ่งบทหนังผูกโยงให้เรื่องมันไปเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์อเมริกันด้วย อันนี้ผมว่าเข้าท่า คือมันดูโรคจิตและดูชวนขนลุกอยู่ไม่น้อย จนถ้ามีการเกลาบทดีๆ เตรียมงานดีๆ ล่ะก็สามารถเอาพล็อตนี่ไปทำเป็นหนังเกรดเอเข้าโรงได้เลยล่ะ ผมว่าน่าสนใจออก

ครับ พล็อตและปมหลักน่ะเข้าท่า แต่จุดพร่องของหนังคือการเดินเรื่องมันยังไม่ลื่นไหล แทนที่จะเน้นตรงการแก้เกมไขปริศนาใช้สมอง หนังกลับแวะไปทางโน้นทีทางนี้ที เลยทำให้เกมที่จริงๆ ควรจะน่าสนใจพลอยลดพลังลงไป และที่ออกจะหงุดหงิดเป็นการส่วนตัวคือตัวละครในเรื่องดูจะอีล้งช้งเช้งค่อนข้างมาก บ้างก็โวยวาย บ้างก็เอาแต่อารมณ์ ซึ่งก็เข้าใจได้น่ะครับว่าคนที่ไปตกอยู่ในสถานการณ์แบบในเรื่องก็คงมีสติหลุดกันบ้าง แต่พอมาเป็นหนังแล้วมีอะไรแบบนี้มากไป โทนมันเลยดูล้งเล้ง และที่สำคัญคือหนังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการแก้เกมเท่าที่ควร เหมือนจะเน้นความล้งเล้งและอลหม่านมากกว่า ความน่าติดตามของหนังเลยไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น
บอกตรงๆ ว่ารู้สึกเสียดายครับ เพราะปมหลักน่ะมันน่าสนใจ ผมถือว่าเข้าใจผูกนะ แต่พอการเดินเรื่องไปโฟกัสผิดจุด ความเพลินที่พึงมีเลยหายไป และยิ่งหนังกำหนดให้ตัวละครบางตัวทำท่าเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง แต่ก็อมพะนำไม่ยอมพูดออกมา ซึ่งตอนแรกๆ ก็พอไหวน่ะครับ พอเข้าใจและพอทน แต่พอนานๆ เข้าแล้วมันชวนรำคาญ คือประมาณว่าพวกพี่จะตายกันหมดอยู่แล้ว ทำไมไม่พูดอะไรออกมา ทำไมไม่บอกให้คนอื่นรู้เผื่อจะได้ช่วยแก้เกมกันได้บ้าง – สารภาพครับว่ามีอะไรให้หงุดหงิดหลายอย่างอยู่
สำหรับผมแล้ว หนังดูได้เรื่อยๆ ครับ ส่วนหนึ่งคงเพราะพยายามไม่คิดเยอะและไม่คาดหวัง มันเลยพอจะดูได้ แต่ก็ยอมรับว่าระหว่างทางก็มีความหงุดหงิดแทรกอยู่เป็นพักๆ เหมือนกัน ผมว่าจริงๆ โครงเรื่องและพล็อตมันโอเคแหละครับ แต่จังหวะการเดินเรื่อง การเล่าเรื่อง การวางปมคลายปมมันไม่ใคร่จะโอเคเท่าไร – นี่ก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าโทนหนังเปลี่ยนเป็นให้ตัวละครทั้งหลายมีความฉลาด ไม่เน้นโทสะอารมณ์ แล้วก็ช่วยกันไขปริศนาไปเรื่อยๆ แก้กับดักไปเรื่อยๆ มันจะโอเคกว่านี้ไหม
ก็ต้องแล้วแต่นะครับ ผมว่าคนที่ชอบหนังแนวไขปริศนาในที่ปิดตาย หากอยากลองก็ลองดูได้ แต่ต้องไม่คาดหวังเลยนะ ท่านอาจจะพอโอเคกับหนังอยู่บ้าง – ส่วนผมนั้น ก็ยังรู้สึกเสียดายมาจนถึงตอนนี้
ดาวครึ่งครับ

(5/10)
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Mystery, Thriller










