Action

The Unbearable Weight of Massive Talent (2022) ข้านี่แหละ นิค “ฟักกลิ้ง” เคจ

Untitled07006

The Unbearable Weight of Massive Talent ถือเป็นหนังฮาที่สร้างขึ้นมาเพื่อคนรัก Nicolas Cage อย่างแท้จริงครับ

ผมคิดว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบหนังเรื่องนี้น่ะนะครับ เพราะมันไม่ได้ฮาสากลแบบหนังตลกอย่าง Mr. Bean, Scary Movie หรือมันส์ฮาแบบหนังแอ็คชั่นบัดดี้อย่าง Rush Hour หลายมุกในหนังคือมุกที่ทำออกมาเพื่อแซวชีวิตของ Cage โดยเฉพาะ บางมุกก็ต๊องซะจนแอบคิดในใจว่า “ช่างกล้านะนี่” ซึ่งหากใครไม่ได้ติดตามพี่ Cage ก็อาจไม่รู้สึกอะไรกับมุกเหล่านั้น ส่วนฉากแอ็คชั่นก็มีเท่าที่จำเป็น แล้วมันก็ไม่ได้มันส์อะไรมากมายด้วย นี่คือว่ากันตามจริงน่ะนะครับ

แต่ผมชอบเรื่องนี้เพราะอะไร? ก็คงเพราะผมชอบพี่ Cage น่ะครับ ตามดูหนังแกมาจะ 40 ปีเข้าไปแล้ว ดูหนังแกหมดทั้งยุคเริ่มแรก ยุครุ่งเรือง และยุคขาลง ดูหมดทุกเกรดที่พี่แกเล่นตั้งแต่ฟอร์มยักษ์ไปจนถึงหนังเกรด B C D ในแง่หนึ่งผมคงรู้สึกผูกพันกับพี่เขาน่ะครับ คือชอบผลงานการแสดงก็เรื่องหนึ่งนะ แต่พอดีผมติดตามข่าวคราวชีวิตของเขาด้วย พี่เขาเลยเหมือนเพื่อนอีกคนสำหรับผม เพื่อนแบบที่เราอยากเห็นเขามีชีวิตที่ดี และประสบความสำเร็จ ดังนั้นพอหนังเรื่องนี้ขายความเป็นพี่ Cage แบบเต็มๆ มันเลยโดนใจน่ะครับ

สำหรับผมแล้วความสนุกของหนังคือการได้เห็นพี่ Cage มาปล่อยของ มาแสดงล้อเลียนตัวเอง ซึ่งผมรู้สึกเสมอว่าพี่เขาตั้งใจในการแสดงตลอดนะครับ ไม่ว่าจะหนังใหญ่ๆ หรือหนังเล็กๆ จะฟอร์มไหนก็เถอะ แต่ถ้าพี่เขารับเล่นล่ะก็ พี่เขาจะตั้งใจแสดงเสมอ บางทีหนังอาจจะเห่ยเฟยไม่สนุกเลย แต่ถ้ามองตรงการแสดงของพี่ Cage นี่ผมก็ว่าไม่ลงครับ เพราะพี่เขาทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองได้ดีเสมอ จะดีมากดีน้อยก็ว่ากันไป แต่มันสัมผัสได้น่ะว่าพี่เขาไม่ได้เล่นแบบส่งๆ ไม่ใช่แค่มารับเงินแล้วรีบเล่นรีบแยกย้าย เขาจะตั้งใจสวมวิญญาณบทนั้นๆ ทุกทีไป

Untitled07007

และกับเรื่องนี้นอกจากการแสดงของพี่ Cage แล้ว ยังประกบด้วย Pedro Pascal ขานี้ก็ยอดฝีมือเหมือนกันครับ จะบทคนดีคนร้าย คนฉลาดหรือคนบ้องแบ๊ว พี่แกเล่นได้หมด ทีนี้พอพี่ Cage มาเข้าฉากคู่กับ Pascal พวกเขาก็รับส่งพลังกันสนุกล่ะครับ บอกเลยว่าบทหนังผมถือว่ากลางๆ นะ จริงๆ คือผูกเรื่องแบบง่ายๆ สไตล์หนังที่ตัวเอกต้องตกกระไดพลอยโจนไปปฏิบัติการอะไรสักอย่างแบบที่เจ้าตัวไม่ทันตั้งตัว ซึ่งบทสไตล์นี้ความสนุกมันจะมีอยู่ตรงลีลาการแสดงของดารานำนั่นแหละครับ หากเล่นแบบรู้งาน รับส่งพลังและมุกกันได้แบบพอเหมาะ หนังก็จะสนุกไปจนจบ – และเรื่องนี้ก็สนุกตามนั้นครับ เพลินเพราะ พี่ Cage กับ Pascal นี่แหละ

ดังนั้นใครชอบพี่ Cage ขอความกรุณาตามมาดูเลยครับ หนังสร้างมาเพื่อชาวเราโดยเฉพาะ เอาแค่สารพัดมุกที่พี่ Cage แซวตัวเองนี่ก็ฮาได้เรื่อยๆ แล้ว ยิ่งใครตามดูผลงานแกมาตลอด เชื่อว่าน่าจะฮากับหลายมุกและของหลายอย่างที่ปรากฏบนจอครับ

และโดยส่วนตัวผมชอบบทสรุปนะครับ กับเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวของเขาน่ะ อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในชีวิตจริงของเขานั้น ชีวิตของพี่ Cage กับครอบครัวจะลงเอยแบบไหนแล้วในตอนนี้ ก็ได้แต่ส่งใจไปให้น่ะครับ หวังว่าอะไรๆ ในชีวิตพี่เขาจะลงเอยด้วยดี

คิดๆ ดูแล้วก็ทึ่งในตัวพี่ Cage เหมือนกันนะครับ ชีวิตผ่านอะไรมาหลากหลาย เคยขึ้นถึงจุดสูงสุด ได้ออสการ์ เป็นดาราทำเงิน แล้วก็มีชีวิตขาลงที่บางคนก็สงสาร บางคนก็ดูถูก (ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางอย่างที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากการกระทำของพี่เขาเอง) แต่แล้วพี่เขาก็ยังสามารถกลับมาเป็นที่สนใจได้เป็นพักๆ ผมเชื่อว่าหลังจากผลงานชิ้นนี้แล้ว พี่เขาก็คงจะมีผลงานที่ดังๆ เข้ามาอีก เช่นเดียวกับคงจะมีผลงานเกรด B เกรด C ผสมกลั้วๆ กันไป แต่ผมว่าคำที่นิยามชีวิตการแสดงของพี่เขาได้เหมาะสุดคงเป็นคำที่เขาชอบพูดบ่อยๆ ในหนังเรื่องนี้น่ะครับ

“Not that we went anywhere” – ใช่ว่าเราจะหายไปไหน

และพี่ไม่เคยหายไปจากใจผมครับ พี่ Cage ขอบคุณทุกการแสดงที่พี่ถ่ายทอดบนแผ่นฟิล์มครับ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)