Christmas Movies

Christmas at the Plaza (2019)

Untitled06950

จากที่ดูหนังวันคริสต์มาสมาน่าจะหลักร้อยเรื่องแล้ว ผมว่า Christmas at the Plaza เป็นหนึ่งในหนังแนวนี้ที่มีพล็อตเข้าท่าและน่าสนใจมากๆ

ตัวเอกคือเจสสิก้า คูเปอร์ (Elizabeth Henstridge) เธอเป็นนักประวัติศาสตร์ครับ และโครงการล่าสุดที่เธอรับทำคืองานจัดแสดงประวัติศาสตร์วันคริสต์มาสของโรงแรมเดอะ พลาซ่า โดยตอนแรกเธอก็เกือบจะถอดใจเหมือนกันเพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาเป็นหัวข้อหลักของงานดี

แล้ววันหนึ่งเธอก็ได้เห็นฟีเนียล ดาบรา (Finial d’arbre) – เครื่องประดับยอดต้นคริสต์มาสชิ้นหนึ่งเข้า แล้วเธอก็พบว่าจะมีการประดิษฐ์ฟีเนียล ดาบราสำหรับประดับที่ยอดต้นคริสต์มาสของโรงแรมในแต่ละปี ต่างปีก็ต่างชิ้นกันไป เจสสิก้าเลยได้ไอเดียครับ ว่าจะนำจัดแสดงฟีเนียล ดาบราประจำต้นคริสต์มาสแต่ละปีพร้อมบอกเล่าประวัติศาสตร์เรื่องสำคัญในปีนั้นประกอบไปด้วย

แต่ทีนี้เธอก็พบว่าในปี 1969 นั้น ไม่ปรากฏว่ามีฟีเนียล ดาบราประจำปีนั้นเลย เธอเลยต้องออกตามสืบครับว่าปีนั้นเกิดอะไรขึ้นกับฟีเนียล ดาบราชิ้นนั้นกันแน่

โดยส่วนตัวผมมองว่าพล็อตเข้าท่ามากครับ คือพล็อตหลักมี 2 อัน อันแรกคือพล็อตด้านโรแมนซ์ ที่เจสสิก้าได้เจอกับนิค เพอร์เรลลี่ (Ryan Paevey) นักตกแต่งวันคริสต์มาส แล้วพวกเขาก็จะค่อยๆ ชอบกันตามสูตร อันนี้พล็อตหนึ่ง ส่วนอีกพล็อตที่ตีคู่กันไปก็คืองานที่เจสสิก้าต้องทำ อันนำมาสู่การสืบหาของที่หายไป พล็อตส่วนนี้จะว่าไปก็น่าสนใจครับ มันชวนให้อยากรู้น่ะว่าปี 1969 มันเกิดอะไรขึ้น ครั้นพอได้รู้ความจริงผมว่าปมมันก็ไม่เลวครับ

ในขณะที่การเล่าเรื่องจริงๆ ก็โอเคครับ สิ่งที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้คือ หนังไม่ได้ตะบันเล่าแต่เรื่องของพระ-นางแบบหนังรักทั่วไปของ Hallmark ระยะหลังที่เหมือนไม่รู้จะเล่าอะไรก็เลยให้พระนางเดินเรื่องไปเรื่อยๆ จนจบ แต่กับเรื่องนี้พระนางเข้าฉากร่วมกันประมาณครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งก็จะเป็นพระเอกหรือนางเอกไปเข้าฉากกับตัวละครอื่นๆ ทำให้หนังดูมีความหลากหลายมากขึ้น – ผมชอบฉากเล็กๆ ตอนที่เจสสิก้านั่งรถแท็กซี่แล้วคุยกับคนขับน่ะครับ ปกติฉากประเภทนี้มักจะมีในหนังรักฉายโรง แต่ไม่ค่อยได้เจอในหนังรักลงสตรีมหรือลง Hallmark สักเท่าไร ซึ่งฉากนี้ก็ทำให้เราได้เห็นความรู้สึกของเจสสิก้ามากขึ้น แม้อารมณ์ของฉากนั้นจะยังไม่สุดก็เถอะ แต่การแทรกฉากแบบนี้ลงมาก็ถือว่าน่าสนใจสำหรับหนังลงจอแบบนี้

แต่ก็นั่นล่ะครับ การเล่าเรื่องค่อนข้างโอเค แต่ถ้าถามว่าดีไหม สุดไหม ก็คงต้องตอบว่ายังไม่สุด ส่วนหนึ่งอาจเพราะลีลาของผู้กำกับ Ron Oliver ยังไม่ลื่นแบบเต็มๆ ไม่ใช่เขากำกับไม่ดีนะครับ โดยรวมน่ะโอเคเลยสำหรับหนังลงจอเล็ก แต่ก็ยังโอเคได้อีกน่ะครับ

Untitled06951

ไปๆ มาๆ ผมก็คุ้นกับรสมือของผู้กำกับคนนี้พอตัว หนังเรื่องแรกที่เขากำกับนั้นคือหนังสยองภาคต่ออย่าง Prom Night III: The Last Kiss ซึ่งก็ไม่ใคร่จะโอเคนัก แล้วเขาก็ทำงานหนังทีวีมาหลายแนว จนระยะหลังๆ นี่ก็จับงานหนังรักเป็นหลัก เรื่องที่เคยผ่านตาผมไปก็อย่าง Romantically Speaking, Mostly Ghostly: One Night in Doom House, The Christmas Train และอีกเรื่องก็ Christmas Everlasting ที่ผมเพิ่งดูไปเมื่อวันก่อน ซึ่งหากว่าตามที่เห็น ผมว่าฝีมือในการทำหนังของเขาก็ถือว่าดีขึ้นกว่าสมัยแรกๆ น่ะครับ

ในแง่หนึ่งก็ไม่อยากโทษเขาอย่างเดียว มันน่าจะเป็นเพราะเงื่อนจำกัดทางเวลาด้วย เพราะหนังลงจอเล็กแบบนี้ต้องทำให้จบใน 1 ชั่วโมงครึ่งน่ะครับ นั่นอาจทำให้เขาไม่สามารถเล่ารายละเอียดได้มากนัก และจริงๆ หนังก็มีตัวละครที่น่าสนใจหลายคนอยู่ ไม่ว่าจะเรจินัลด์ บรุควอเตอร์ (Bruce Davison) พนักงานยกกระเป๋าเก่าแก่, เคนนี่ (Nelson Wong) หัวหน้าพนักงานต้อนรับ ที่ยิ้มได้ตลอดศก และอแมนด้า คลาร์ค (Julia Duffy) ที่ติดต่อเจสสิก้ามาทำงานนี้ แต่ละคนดูมีคาแรคเตอร์น่ะครับ แต่บทยังดูเหมือนไม่เยอะ อันนี้ก็แอบเสียดายนะ เพราะถ้าพวกเขาได้มีพื้นที่บนจอเยอะกว่านี้ ก็อาจทำให้หนังมีรสชาติมากขึ้นก็ได้

ถ้าให้ว่าโดยรวม พล็อตถือว่าดีครับ องค์ประกอบในหนังก็ถือว่าดี อย่าง Henstridge นี่ก็น่ารักครับ – ผมน่ะชอบเธอมาตั้งแต่ Agents of S.H.I.E.L.D. แล้ว ส่วนพระเอก Paevey ก็ดูมีเสน่ห์แบบปอนๆ ดีเหมือนกัน ผมว่าเคมีของพวกเขาก็เข้ากันด้วยล่ะครับ เวลาอยู่ด้วยกันมันดูน่ารัก ตอนต้นๆ อาจออกแนวกัดกันเล็กๆ แต่พอรู้จักกันไปพักหนึ่งพวกเขาก็ค่อยๆ ให้เกียรติกันมากขึ้น ดูถ้อยทีถ้อยอาศัยกันน่ะครับ และช่วงหลังนี่พระเอกก็จะแผ่รังสีความอบอุ่นส่งให้นางเอกเสมอ – ดูเป็นคู่ที่น่าเชียร์ให้รักกันจริงๆ

Untitled06952

แต่รายที่ผมชอบมากสุดคงเป็น Davison ครับ รายนี้เล่นได้ดีเสมอ ในเรื่องจริงๆ เขาก็เป็นตัวละครที่มีบทบาทเยอะอยู่ แต่ก็อีกนั่นแหละครับ มันเหมือนยังขาดบางอย่างไป ไม่ใช่กับแค่ตัวละครนี้นะครับ แต่ตัวละครแวดล้อมทั้งหลายในเรื่องน่ะ ถ้าพวกเขามีบทบาทเพิ่ม ผมว่าหนังจะอร่อยขึ้น (เพราะหนังรักแนวนี้ บทสมทบที่ขโมยซีนได้นี่แหละ คือตัวชูรสชั้นยอด)

ฉากในโรงแรมก็จัดได้สวย จัดแสงได้ดีด้วย รวมถึงฉากทิวทัศน์ในนิวยอร์คก็ถ่ายมาได้สวย (แม้บางอันจะเป็นฟุตเตจจากสต็อกก็ตาม แต่ก็คัดมาได้สวยครับ) หรือเพลงประกอบก็จัดว่าเหมาะ เลือกมาได้เข้าบรรยากาศกับวันคริสต์มาสแบบสุดๆ ช่วยเสริมอารมณ์ได้อย่างดี เรียกว่าหนังอุดมไปด้วยของดีครับ จนถ้าหนังได้เวลาในการเล่าเรื่องมากกว่านี้สัก 15 – 20 นาที หนังน่าจะกลมกล่อมครบเครื่องมากขึ้น เพราะหนังน่ะมาถูกทางครับ เรียกว่ามีแสงในตัวไม่น้อย แต่แสงที่ว่ายังฉายได้ไม่เต็มที่เท่านั้นเอง

และอีกอย่างที่ผมว่าเข้าท่าคือ ตามปกติเวลาเราดูหนังที่ตัวเอกต้องจัดงานหรือนิทรรศการอะไรสักอย่าง แล้วหนังพยายามจะทำให้งานนั้นมันดูยิ่งใหญ่ ดูน่าสนใจ และดูมีคนไปงานเยอะๆ แต่กลายเป็นว่าหนังหลายเรื่องเลยครับที่ดูยังไงมันก็ไม่ใช่ งานมันไม่ได้ใหญ่เบอร์นั้น ไม่ได้น่าสนใจเบอร์นั้น มันเลยดูหลอกๆ ในอารมณ์อยู่เหมือนกัน – แต่กับเรื่องนี้นี่ ผมยอมรับเลยว่างานแสดงประวัติศาสตร์คริสต์มาสมันดูน่าสนใจจริง ผมเองยังอยากไปเดินดูเลยครับ ผมเลยรู้สึกว่านี่เป็นอีกอย่างที่เข้าท่าของหนังเรื่องนี้ หัวข้อมันดูใหญ่สมกับจัดที่โรงแรมเดอะ พลาซ่า

พูดก็พูดเถอะครับ นี่เป็นหนังอีกเรื่องครับที่อยากให้มีคนเอาบทไปรีเมคสร้างใหม่ด้วยเกรดหนังโรง แล้วเล่าเรื่องแบบจัดเต็มพร้อมใส่ลูกเล่นลีลาลงไปให้ได้ที่นะ ผมว่าน่าจะเวิร์กเลยล่ะ

จริงๆ ผมชอบเรื่องนี้นะ ชอบทั้งองค์ประกอบและพล็อต รวมถึงการเดินเรื่องที่จริงๆ ก็อยู่ในข่ายสนุกใช้ได้ เพียงแต่ใจมันบอกน่ะครับว่ามันยังไม่สุด ถ้าเพิ่มตรงนั้น เติมตรงนี้ เสริมตรงโน้นให้สเกลเป็นแบบหนังโรง – ที่สำคัญเลยคือเพิ่มเวลาให้หนังเล่าอะไรๆ ได้ครบมากขึ้น – หนังคงมีอะไรน่าสนใจมากขึ้น และเข้าตาถึงเครื่องมากขึ้น

แต่กระนั้นผมก็เชียร์ให้ดูนะครับ เป็นหนังรักวันคริสต์มาสที่ Feel Good ดี ดูแล้วมีความสุข ระหว่างทางก็มีอะไรให้ติดตามอยู่ไม่น้อย – จะว่าไปแล้วที่นั่งไล่ดูหนังคริสต์มาสมา 20 กว่าเรื่องตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมเป็นต้นมา ผมว่าเรื่องนี้ควรค่าแก่การรับชมครับ

ขอทิ้งท้ายด้วยหนึ่งในประโยคที่ผมว่ามีความหมายจากหนังครับ “สิ่งสำคัญของประวัติศาสตร์คือ เราไม่ต้องแต่งมันขึ้นมา มันเกิดขึ้นไปแล้ว”

สองดาวใกล้ครึ่งแบบใกล้มากๆ ใกล้จริงๆ ใกล้เหลือหลายให้ดิ้นตายเถอะ

Star21

(6.5/10)