Christmas Next Door เป็นหนังรัก Feel Good วันคริสต์มาสที่ดูได้แบบเพลินๆ ครับ

เอริค เรดฟอร์ด (Jesse Metcalfe) นักเขียนที่เริ่มมีปัญหาด้านแรงบันดาลใจครับ เขาพบว่าตัวเองกำลังเบื่อกับการเขียนอะไรแบบเดิมๆ ที่แม้จะการันตีได้ในแง่ความสำเร็จ แต่มันไม่ทำให้เขารู้สึกเบิกบาน แล้วเขาก็ได้มีโอกาสใช้เวลากับเอพริล สจ๊วต (Fiona Gubelmann) ครูสอนไวโอลินที่กำลังลังเลว่าจะไปคัดตัวงานที่เธอใฝ่ฝันดีหรือเปล่า

ตอนแรกความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ออกแนวไม่ถูกกันครับ อย่างเอริคนี่ก็ออกแนวสครูจ คือไม่ชอบวันคริสต์มาสแล้วก็มักจะทำอะไรแบบคิดถึงตัวเองก่อน แต่พอเขาได้รู้จักกับเอพริลมากขึ้นเขาก็เริ่มชอบเธอ และพบว่าเธอสร้างแรงบันดาลใจบางอย่างให้เขา ยิ่งประจวบเหมาะกับที่เขาจำต้องเลี้ยงหลานๆ ด้วยเหตุจำเป็น อะไรเหล่านี้ก็ยิ่งทำให้เอริคเปลี่ยนไปจากเดิม

ผมว่าหนังยำหลายสูตรเข้าด้วยกันครับ อย่างแรกเลยคือสูตรหนังรักโรแมนติกวันคริสต์มาส ที่พระนางขึ้นต้นเหมือนจะเข้ากันไม่ได้ แต่พอได้อยู่ด้วยกัน ได้รู้จักกันแล้วก็เริ่มจะชอบกันและกัน แล้วก็ผสมสูตรแบบตัวละครสครูจที่มีปัญหากับวันคริสต์มาส และไม่ค่อยใส่ใจใคร แต่พอเวลาผ่านไปก็เริ่มหันหน้าเข้าหาคนอื่นบ้าง แล้วก็ยังผสมความเป็นหนังครอบครัวลงไปหน่อยๆ ตรงที่ทั้งเอริคและเอพริลต่างก็มีพ่อแม่หรือพี่น้องคอยเป็นที่ปรึกษา คอยห่วงใยและให้คำแนะนำ และยังมีการบวกหนังประเภท “ค้นหาตัวตน ค้นแรงบันดาลใจ” ใส่ลงไปอีกหนึ่งสูตรด้วย

หนังก็น่ารักดีครับ อาจไม่ถึงกับกลมกล่อมสุดยอด แต่ก็ใช้ได้สำหรับหนังแนวนี้ Metcalfe กับ Gubelmann ก็เล่นเข้าคู่กันได้ดี บรรยากาศวันคริสต์มาสก็ถือว่าใช้ได้ แม้ดูไปจะเดาทางได้ก็ตาม แต่มันก็ดูได้เพลินๆ ดีน่ะครับ

แง่คิดจากหนังก็มีหลากหลายครับ อันแรกเลยคือ หากเราถึงจุดที่เริ่มอิ่มตัวกับอะไรสักอย่างหรือเบื่อกับสิ่งที่ทำอยู่ประจำ เราก็อาจถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนแปลง ก้าวออกจาก Comfort Zone แล้วริเริ่มทำอะไรใหม่ ไม่แน่นะครับว่าสิ่งใหม่ที่รออยู่อาจเติมเต็มท่านได้มากกว่าที่คิด – หรือถ้าเราแค่เบื่อแบบชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้เบื่อจริงจัง การหันไปทำอย่างอื่นก็อาจทำให้เราหันมาเห็นคุณค่าต่อสิ่งเดิมๆ ที่เรารู้สึกเบื่อ ณ ชั่วขณะจิตหนึ่งก็เป็นได้

ต่อมาคือการกล้าที่จะก้าวตามความฝัน กล้าที่จะเดินไปให้สุดทาง – ผมชอบประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว ที่เขาบอกว่า ตีลูก (กอล์ฟ) ให้ถึงดวงจันทร์ เพราะแม้พลาด มันก็จะอยู่ท่ามกลางดวงดาว – ก็เป็นคำคมประเภทเร้าให้เราลงมือทำอะไรสักอย่างนั่นแหละครับ

อีกอันก็คือ เราต้องรู้จักรับฟังเสียงจากคนอื่นๆ บ้าง อย่าด่วนสรุปว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกที่สุด ใช่ที่สุด เหมาะที่สุด เพราะเสียงจากคนอื่น มุมมองจากด้านอื่นอาจเปิดมิติความคิดเราให้กว้างขึ้น มองอะไรชัดขึ้น และทำให้เราลงมือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้อย่างตรงเป้ามากขึ้น

สรุปคร่าวๆ ว่าเป็นหนังรัก Feel Good วันคริสต์มาสที่โอเคอีกเรื่อง ดูแล้วได้รอยยิ้ม ดูแล้วได้ความสุข ในขณะที่สาระเรื่องการค้นหาตัวตนหรือเรื่องแรงบันดาลใจหนังอาจยังไม่ลงลึกแบบเต็มที่ – ถ้าลงลึกและเล่นประเด็นเหล่านี้มากกว่านี้ หนังคงมีอะไรมากขึ้นน่ะครับ

สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)