
ถ้าจะให้นิยาม Let It Snow แบบลัดสั้นที่สุดก็คงเป็นว่า “นี่คือ Love Actually เวอร์ชั่นวัยรุ่นอเมริกัน” ครับ
หนังเล่าถึงเหตุการณ์ในวันคริสต์มาสอีฟที่ตัวละครหลากหลายได้มาเจอกัน ตั้งแต่จูลี่ (Isabela Merced) ที่มีเหตุให้ได้เจอกับสจ๊วต (Shameik Moore) นักร้องชื่อดังโดยบังเอิญ, ส่วน 2 เพื่อนซี้ แอ็ดดี้ (Odeya Rush) และ ดอรี่ (Liv Hewson) ต่างก็ต้องแก้ปมเรื่องหัวใจของตนเองที่ค่อนข้างจะวุ่นวายอยู่สักหน่อย, ส่วนโทบิน (Mitchell Hope) ก็กำลังตัดสินใจว่าจะสารภาพรักกับเพื่อนสนิทที่ชื่อแองจี้ (Kiernan Shipka) ดีหรือไม่ แล้วก็ต้องมาว้าวุ่นใจหนักขึ้นเมื่อพบว่าแองจี้กำลังจะเดทกับหนุ่มหล่อนามว่าเจพี (Matthew Noszka) และคีออน (Jacob Batalon) ก็กำลังหมายมั่นที่จะจัดงานปาร์ตี้เพื่อประกาศความสามารถในการเป็นดีเจของตัวเองให้โลกรู้
ว่าแบบตรงเป้าเลยคือหนังมีวัตถุดิบที่ดีครับ ไม่ว่าจะเหล่าดาราที่ถือว่าแคสมาดี แต่ละคนถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองได้กำลังเหมาะ แล้วก็ยังได้ดารารุ่นใหญ่อย่าง Joan Cusack มาแจมอีก ซึ่งก็เพิ่มรสชาติให้กับหนังได้ไม่น้อย
ตัวเนื้อหาเองจริงๆ ก็น่าสนใจครับ มีปมให้เราตามเรื่อง และเรื่องของแต่ละคนก็สะท้อนแง่คิดเกี่ยวกับชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องการรู้จักฉวยคว้าโอกาสไว้ เพราะโอกาสดีๆ บางทีก็ไม่ได้ผ่านมาบ่อยๆ
หรือการรู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง อย่าเอาเงื่อนไขความสุขของเราไปผูกติดไว้กับใคร เพราะไม่งั้นถ้าวันไหนเขาจากเราไป โลกของเราก็จะพังทลายและเราจะไปไม่เป็นทันที
ไหนจะการเปิดใจรับฟังสิ่งที่เพื่อนพยายามบอก พยายามเตือนเรา เพราะบางครั้งในบางแง่มุมเราอาจมองตัวเองไม่ออกครับ ต้องให้คนที่ใกล้ชิดเรานี่แหละคอยสะท้อนให้เรามองเห็น ยิ่งเมื่อเพื่อนกล้าตักเตือนเราแบบตรงๆ ก็ควรใส่ใจรับฟัง อย่าด่วนปิดกั้นตัวเราจากคำแนะนำอันจริงใจและมีค่านั้น
รวมถึงเรื่องความรักของ LGBTQ ที่บางทีพวกเขาก็ต้องมาปกปิดเก็บงำไว้ในใจเพราะไม่รู้ว่าหากเปิดออกไปแล้ว “สังคมรอบตัว” จะมองอย่างไร เรื่องนี้คนที่รู้ตัวเองว่าอยู่ในกลุ่ม “สังคมรอบตัว” ก็ควรต้องเปิดใจและปรับมุมมองครับ จริงที่ยุคหนึ่งเรามีเทรนด์ชอบเหยียดชอบแซวเพศทางเลือก แต่มาตอนนี้โลกเปลี่ยนไปแล้วครับ – เทรนด์แบบเก่าๆ นั้นก็ไม่ใช่อะไรที่น่ารักอีกแล้ว – บางครั้งเราอาจต้องทบทวนน่ะครับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ทำให้กลุ่มคน LGBTQ เขาอยู่ในโลกนี้ยากขึ้นหรือเปล่า – ใจเขาใจเราน่ะครับ ไม่มีใครอยากอยู่ในโลกด้วยความอึดอัดหรอก
หนังมีองค์ประกอบดีอย่างที่บอก ถ้าหากได้รับการปรุงดีๆ หนังก็จะเวิร์กอย่างยิ่ง แต่ผลที่ได้ก็ถิอว่าโอเคในระดับหนึ่ง ดูได้เพลินๆ แบบยังดีได้อีก – หนังกำกับโดย Luke Snellin ที่ทำหนังสั้นและทีวีซีรี่ส์มาหลายเรื่อง แต่สำหรับงานหนังยาวก็มีเรื่องนี้นี่แหละครับเป็นเรื่องแรก ดังนั้นจังหวะจะโคนรวมถึงลูกเล่นในการนำเสนอก็อาจจะยังไม่เข้าที่นัก – อันนี้ผมรู้สึกเองน่ะนะครับ คือรู้สึกว่าจริงๆ ในเนื้อเรื่องและในตัวบทน่ะ มันมีลูกเล่นของมันอยู่ (หนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากหนังสือครับ เขียนโดย John Green, Lauren Myracle และ Maureen Johnson) แต่คนทำน่ะยังไม่สามารถใช้งานลูกเล่นที่ว่านี่ให้ออกรสได้สักเท่าไร
สำหรับผม หนังโอเคครับ แม้จะไม่ถึงขั้นประทับใจแต่ก็จัดว่าใช้ได้สำหรับความเป็นหนัง Feel Good ในวันคริสต์มาส ก็เป็นอีกเรื่องที่ดูได้แบบเพลินๆ แล้วก็ได้แง่คิดติดกลับมาอีกหน่อย โดยส่วนตัวแล้วไม่ผิดหวังครับ แค่ยังไม่สมหวังเท่านั้น – แต่ผมก็มีความสุขในการดูนะครับ ไม่รู้สึกเสียดายเวลาแต่อย่างใด
สองดาวกว่าครับ

(6.5/10)










