
The Mystery of the Dragon Seal คือภาคต่อของ Viy หนังสืบสวนแฟนตาซีผจญภัยปี 2014 ของรัสเซียที่ทำเงินในบ้านไปเยอะ ไหนจะรายได้ตอนออกแผ่นอีก เลยทำให้ภาคต่อต้องมีตามมาครับ และทุนสร้างก็ใหญ่ขึ้น (ภาคแรกทุนประมาณ $26 ล้าน มาภาคนี้ทุนไปเข้าไป $49 ล้านครับ)
แล้วหนังก็ได้เฉินหลงกับ Arnold Schwarzenegger มาร่วมสร้างด้วยครับ จริงๆ ดูท่าน่าจะดีนะ แต่ผลที่ได้กลับสู้ภาคแรกไม่ได้ครับ
จริงๆ คนที่ควรเป็นตัวละครหลักของหนังคือโจนาธาน กรีน (Jason Flemyng) คนทำแผนที่จากอังกฤษที่มีเหตุให้ต้องผจญภัยอีกครั้งในเมืองจีน แต่กลายเป็นว่าเรื่องนี้พี่เขาเป็นบทสมทบมากกว่าครับ แล้วถ้าถามว่างั้นใครเป็นตัวเด่น? คำตอบก็คือ ไม่มีตัวเด่นแบบจริงๆ จังๆ ครับ
พล็อตเรื่องภาคนี้พูดตรงๆ คือเหมือนจะเล่นให้ใหญ่ มีการผูกเรื่องเกี่ยวกับตำนานมังกรในจีน มีเรื่องของเจ้าหญิงผู้เลอโฉมแห่งแผ่นดินจีนที่พยายามช่วยเหลือประชาชนของนาง แล้วยังมีเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียเข้าไปอีก แต่ก็กลายเป็นเหมือนภาคแรกน่ะครับ คือมีพล็อต มีการยำ แต่ยังยำได้ไม่เข้าเนื้อ พูดแบบตรงๆ คือเหมือนหนังพยายามใส่จุดขายเข้าไปเยอะๆ ขายทั้งจีน ขายทั้งรัสเซีย แล้วยังมีเฉินหลงกับป๋า Arnold อีก นี่ก็คงกะขายอินเตอร์เลยไปถึงอเมริกา – แต่ปัญหาคือ เยอะไปบางครั้งก็ใช่จะดีครับ
ตอนต้นนี่หนังใช้เวลาไปเยอะมากกับตัวละครอย่างเจมส์ ฮุค (ป๋า Arnold) ผู้ดูแลคุก กับปรมาจารย์ชาวจีนผู้ลึกลับ (เฉินหลง) ที่ถูกจองจำไว้ที่นั่น แต่ดูก็รู้น่ะครับว่าหนังใส่ฉากของพวกเขามาเพื่อขาย แต่มันไม่ได้มีผลต่อเนื้อเรื่องอะไรมากมาย ช่วงต้นนี่ทำเอาสัปหงกไปหลายหนอยู่เหมือนกัน

ส่วนตอนกลางๆ กับตอนหลังหนังถือว่าตำซั่วยิ่งขึ้น เพราะมีเส้นเรื่องหลายเส้นดำเนินไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะโจนาธานที่เดินทางไปกับเจ้าหญิง แล้วก็ยังมีเรื่องของเจ้าหญิงที่ต้องสู้กับแม่มดร้าย แล้วก็มีเส้นเรื่องของมิสดัดลี่ย์ (Anna Churina) เมียของโจนาธานที่หนนี้ลงสนามออกมาตามสามีด้วยตัวเอง เส้นเรื่องนี้ก็ชวนให้คิดถึง Pirates of the Caribbean ยิ่งได้ Martin Klebba ที่เล่นใน Pirates มาแสดงเป็นกัปตันเรือก็ยิ่งทำให้รู้สึกไปกันใหญ่
จริงๆ ความหลากหลายมันก็ดีครับ หรือการมีเส้นเรื่องหลายเส้น และมีตัวละครหลายคน จริงๆ ถ้าปรุงดีๆ มันก็ออกมาสนุกได้ แต่เผอิญว่าคนปรุงอย่างผู้กำกับ Oleg Stepchenko มือยังไม่แม่นขนาดนั้น แบบที่ภาคแรกยังไม่กลมกล่อมเท่าไรนั่นแหละครับ พอมาภาคนี้เล่นใหญ่ขึ้น เส้นเรื่องมากขึ้น ตัวละครมากขึ้น มันก็เลยคุมยากขึ้น และเขาก็ยังคุมได้ไม่คล่องมือ ความอร่อยก็เลยพลอยลดลงไปโดยปริยาย
ไปๆ มาๆ ระหว่างดูนี่ผมเห็นใจโจนาธานนะ เพราะจริงๆ แกควรเป็นตัวนำ แต่กลายเป็นว่าภาคแรกก็เด่นไม่มาก ครั้นพอมาภาคนี้ดันเด่นน้อยลงไปอีก อันนี้ก็แอบเสียดายครับ เพราะจริงๆ Jason Flemyng เขาก็เล่นหนังดีออก แต่บทไม่เปิดโอกาสครับ
และที่เคยมีคำถามในภาคแรกว่า บางทีก็แอบคิดนะว่าตกลงหนังจะไปทางไหนกันแน่ จะเอาแนวลึกลับสืบสวนแบบมีเหตุมีผล หรือจะเอาแฟนตาซีแบบไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล ปรากฏว่าภาคนี้หนังเลือกที่จะแฟนตาซีสุดติ่งไปเลยครับ ไม่ต้องมาสืบสวนไขคดีอะไรแล้ว ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้บทบาทนักวิทยาศาสตร์ของโจนาธานยิ่งถูกลดความสำคัญไปอีก
สรุปว่า ภาคแรกสนุกกว่าครับ ภาคนี้ออกแนวจับฉ่ายตำซั่วที่รสยังไม่กลมกล่อม คือมีทุกอย่างที่หนังสายบันเทิงควรมี ทั้งดาราดัง, ลีลากังฟู, เรื่องแฟนตาซี, สัตว์ประหลาด. ตัวละครแปลกๆ, แม่มด, โจรสลัด, ภูตตัวจิ๋ว, ฉากตะลุมบอน ฯลฯ ว่าง่ายๆ คือจานใหญ่ให้เยอะ แต่รสยังไม่เข้าที่
ดาวครึ่งครับ

(5/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, Fantasy, Movie Reviews










