
ศึกล้างเจ้ายุทธจักร หรือ Death Duel ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง “ซาเสียวเอี้ย” ของมังกรโบราณโก้วเล้งครับ เปิดเรื่องมาหนังก็แนะนำให้เรารู้จักกับเยี่ยสือซัน (หลิงหยุน, Ling Yun) หรืออี้จับซา มือกระบี่ที่ท้าประลองกับจอมยุทธทั่วหล้า แต่ยังมีอีกหนึ่งจอมยุทธที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมือระดับไร้เทียมทานนั่นคือคุณชายสาม เซี่ยเสี่ยวฟง (เอ๋อตงเซิน, Tung-Shing Yee) หรือเจี่ยเฮียวฮง แห่งสำนักกระบี่เทวะ
ครั้นเมื่อเยี่ยสือซันเดินทางไปที่สำนักหมายจะท้าประลอง กลับพบว่าคุณชายสามได้เสียชีวิตไปแล้ว
ทว่าในความจริง คุณชายสามหาได้เสียชีวิตไม่ แต่เพราะเขาเบื่อหน่ายการเข่นฆ่า ระอากับชื่อเสียงของตนที่นำพาเรื่องมาให้มากมายไม่จบสิ้น เขาเลยปลอมตนเป็นอาจิ๊ผู้ไม่เอาถ่าน (หรืออากิกที่ใช้ไม่ได้) แฝงตัวในหมู่ชาวบ้านด้วยความหวังว่าจะทำให้เขาหนีพ้นจากเรื่องวุ่นวายของยุทธภพ
แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สามารถหนีชื่อเสียงของตนเองพ้นครับ ในที่สุดโชคชะตาก็นำพาเขาไปพบกับการเข่นฆ่าอีกครั้ง และแน่นอนว่าสุดท้ายปลายทางเขาและเยี่ยสือซันก็จะได้ประลองกันให้รู้แพ้ชนะ
เรื่องนี้ถือเป็นหนังคลาสสิกอีกเรื่องครับ ซึ่งหากมองดูจากสายตาของคนรุ่นใหม่แล้ว หนังอาจมีความเชยบ้างในบางบริบท และฉากต่อสู้ประมือฟันกระบี่ก็อาจจะไม่ได้ช้งเช้งฉับไวหรือเปี่ยมลีลาเท่าหนังจอมยุทธสมัยใหม่ ว่าง่ายๆ คือยังบู๊แบบดูเป็นสเต็ปอยู่น่ะครับ ซึ่งบอกตามตรงว่าผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน – ในช่วงต้นๆ ของหนังยังไม่ดึงดูดผมแบบเต็มที่ แต่ก็ต้องยอมรับครับว่าดาราแต่ละคนแสดงกันได้ดี นอกจากที่ผมเอ่ยไปแล้วก็ยังมีตัวละครอย่าง มู่หยงชิวตี้ (เฉินผิง, Ping Chen) สตรีที่เข้ามาพัวพันในเรื่องนี้อย่างมีจุดประสงค์ และเสี่ยวหลี (หวีอันอัน, On-On Yu) สตรีอีกหนึ่งนางที่กุมหัวใจของคุณชายสามเอาไว้
แล้วก็ยังมี เดวิด เจียง, ฉีเส้าเฉียน, หยวนหัว, ตี้หลุง และกู้กวนจง โผล่กันมาคนละมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ถือเป็นสีสันสำหรับคนดูหนังรุ่นใหม่ที่ได้เห็นหน้าสมัยยังละอ่อนของเหล่าดาราที่ในตอนนี้ถือว่าเป็นระดับตำนาน
ช่วงต้นๆ ถือว่าเรื่อยๆ ครับ เป็นการนำเสนอให้เราได้เห็นชีวิตของคุณชายสามที่พยายามหลบซ่อนจากชื่อเสียงของตน แล้วกลายเป็นคนไม่เอาถ่านอย่างอากิก ก่อนที่หนังจะบอกกับเราให้ตระหนักว่า คนเรานั้นหนีจากตนเองไม่ได้หรอก ไม่ว่าจะอย่างไรตัวตนของเราหรือสิ่งที่เราทำในอดีตก็จะตามเราจนเจอ เราต้องเผชิญกับมันไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นแล้วสู้เรากล้าเผชิญหน้ากับความจริงไป อาจเป็นอะไรที่เหมาะควรกว่า

สำหรับผมแล้ว ความน่าติดตามจริงๆ ของหนังเริ่มต้นในช่วงครึ่งหลังครับ เมื่อคุณชายสามเดินทางไปถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีทั้งจอมยุทธและบัณฑิตนั่งกันอยู่หลายท่าน แล้วคุณชายสามก็เดินไปถามบัณฑิตว่า “หากท่านจะต้องตายในวันพรุ่งนี้ ท่านจะทำอย่างไร?” บัณฑิตก็วางท่าทรงภูมิก่อนจะตอบว่า “ข้าก็จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย และตายอย่างเงียบๆ” ก็เป็นการตอบแบบหล่อๆ นั่นแหละครับ
แต่แล้วคุณชายสามก็วางท่าข่มขู่หมายเอาชีวิตและเค้นถามไปอีกครั้งว่า “คำตอบจากใจจริงของเจ้าน่ะ คืออะไร?” – บัณฑิตที่ตกใจกลัวก็โพล่งออกมาเลยว่า “ใจจริงน่ะ ข้าอยากเที่ยวผู้หญิง… อยากเที่ยวผู้หญิงมากๆ แล้วก็จะไปเล่นพนันที่บ่อน เล่นให้มันสะใจไปเลย”
แล้วจากนั้นคำถามที่ว่าก็ไปถึงลูกสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ได้ชื่อว่าเป็นกุลสตรี ครองตัวครองตนไม่ข้องแวะกับชายใดหลังจากคนรักของตนตายจากไป จนได้ป้ายประกาศเกียรติคุณมาวางไว้หน้าบ้าน – แต่แล้วนางก็ตอบจากใจจริงว่า นางไม่ได้อยากได้ป้าย ไม่ได้อยากได้ชื่อเสียง แต่อยากได้ผู้ชายสักคน “เพราะนั่นคือความสุขที่สุดของผู้หญิงไม่ใช่หรือ? ข้าไม่ได้อยากครองตัวแบบนี้”
เหล่านี้เป็นคำถามที่สะท้อนความจริงได้อย่างน่าสนใจ
อีกฉากที่ชอบคือตอนที่คุณชายสามได้พบกับชายอีกคนหนึ่งที่ริมทะเลสาบม่อโถว หลังจากสนทนาไประยะหนึ่ง ชายผู้นั้นก็ชงชาหนึ่งถ้วยให้คุณชายสามดื่ม
เมื่อคุณชายสามถือถ้วยชาไว้ในมือ จึงเอ่ยถามว่า “แล้วท่านล่ะ?” ชายผู้นั้นตอบว่า “ข้าไม่ดื่ม”
คุณชายสามถามต่อว่า “ทำไมล่ะ?”
“คนที่ชงน้ำชา ไม่จำเป็นต้องดื่มชา สรรพสิ่งในหล้าหลายอย่างที่เป็นเช่นนี้” ชายผู้นั้นตอบ – ผมชอบประโยคอะไรแบบนี้ครับ และคงเพราะแบบนั้นผมถึงชอบอ่านนิยายของโก้วเล้ง

ดังนั้นการจะดูหนังเรื่องนี้ให้ออกรส อย่างแรกคือต้องปรับก่อนครับ โดยเฉพาะถ้าเราคุ้นเคยกับหนังจอมยุทธรุ่นใหม่ที่ถึงพร้อมกว่าในเรื่องคิวบู๊ที่ดูหนักแน่นพลิ้วไหวกว่า ก็ต้องบอกกับตัวเองว่านี่คือหนังยุค 70 หลายอย่างหากจะดูเชื่องช้า หากจะดูเรื่อยๆ ไปบ้างก็เป็นธรรมดา แต่ขอให้ท่านใส่ใจที่เนื้อหาและสาระที่หนังพยายามสื่อบอกกับเรา – และนี่คือส่วนหนึ่งที่ผมได้จากหนังเรื่องนี้
“คนเราเมื่ออยู่ในยุทธภพ ไม่เป็นตัวของตัวเอง”
“บางครั้งการจะเป็นหนึ่งในใต้หล้า อาจต้องเป็นคนบ้าที่บ้ามากพอ”
“เมื่อคำตอบถูกจำกัดเพียง “ชนะหรือแพ้” ทางเลือกในชีวิตก็จะถูกจำกัดเช่นกัน”
ผมโอเคกับหนังในระดับหนึ่งครับ แต่ยอมรับว่าผมออกจะชอบฉบับใหม่มากกว่า – ใช่ครับ หนังเรื่องนี้ถูกนำไปสร้างใหม่อีกหนโดยเอ๋อตงเซินผู้รับบทคุณชายสามในฉบับนี้ได้ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ และหนังเรื่องนั้นก็คือ Sword Master หรือชื่อไทยว่า “ดาบปราบเทวดา“
แต่ก็ถือเป็นหนังกำลังภายในยุคเก่าที่ควรค่าแก่การรับชมครับ
สองดาวครึ่งครับ

(7/10)
หมวดหมู่:Action, Chinese/Hong Kong/Taiwan Movies, Drama, Martial Arts, Movie Reviews, Wuxia










