
ไปๆ มาๆ ผมรู้สึกโอเคกับ Annabelle Comes Home มากกว่าที่คิดครับ ตามความรู้สึกเลยคือหนังอาจไม่ได้สนุกเข้าท่าเท่าภาค 2 แต่ก็มีอะไรมากกว่าภาคแรก ซ้ำยังมีอะไรที่น่ารักและน่าจดจำอยู่พอสมควร – บางคนอาจบอกว่า “นี่หนังผีไม่ใช่เหรอ? มีอะไรน่ารักด้วยเหรอ?” คำตอบคือ ใช่ครับ มันมีอยู่
ภาคนี้หนังเชื่อมกับ The Conjuring โดยการอัญเชิญเอาตัวละครอย่างเอ็ด (Patrick Wilson) และลอเรน (Vera Farmiga) มาอุ่นเครื่องเรื่องราวของแอนนาเบลล์ ก่อนจะปล่อยให้ตัวละครรุ่นเยาว์กว่าอย่างจูดี้ (Mckenna Grace) ลูกสาวของพวกเขา และพี่เลี้ยงของเธอ แมรี่ อัลเลน (Madison Iseman) กับเพื่อนที่ชื่อแดเนียลล่า (Katie Sarife) มาเป็นตัวหลักสำหรับเรื่องนี้ครั้งนี้
พล็อตเล่าง่ายๆ เลยครับ คือในบ้านของวอร์เรนจะมีห้องสำหรับเก็บข้าวของอาถรรพ์ต่างๆ เอาไว้ใช่ไหมครับ ปรากฏว่าภาคนี้มีตัวละครหนึ่งเกิดอยากรู้อยากเห็นเลยย่องเข้าไปในห้อง แล้วก็เผลอไปยุ่งของของชิ้นต่างๆ และที่สำคัญเลยคือดันไปยุ่งกับแอนนาเบลล์เข้าด้วย งานนี้ผีเลยหลุดออกมาอาละวาดก่อเรื่องสยองจนเด็กๆ รับมือกันแทบไม่ทัน
ความรู้สึกที่ผมมีต่อภาคนี้ก็แยกเป็นส่วนๆ ไปครับ คือมีทั้งจุดที่โอเคและจุดที่รู้สึกว่ายังโอได้อีก อย่างแรกเลยที่รู้สึกได้เลยก็คือคาแรคเตอร์ของเอ็ดและลอเรนนี่มีความแข็งแกร่งมากนะครับ เป็นเหมือนเครื่องหมายการค้าที่สำคัญของจักรวาล The Conjuring จะโผล่มากโผล่น้อยไม่สำคัญ ขอเพียงโผล่มาเท่านั้นบรรยากาศมันจะดูขลังขึ้นมาในบัดดล หนังมันจะดูมีราคาขึ้นทันที ซึ่งก็ต้องชมทีมงานทุกภาคส่วนของหนังชุด The Conjuring ที่สร้างสรรค์ความแข็งแกร่งให้กับ 2 ตัวละครนี้ และที่ไม่ชมไม่ได้ก็คือ 2 ดาราอย่าง Wilson และ Farmiga น่ะครับ พวกเขาสวมบทนี้ได้อย่างดี ดูมีออร่า มีพาวเวอร์ และมีพลังขลังๆ
ช่วงต้นที่เอ็ดและลอเรนไปรับแอนนาเบลล์นั้นถือว่าโอเคเลยครับ อุ่นเครื่องเรื่องได้ดี ครั้นพอมาถึงเรื่องของลูก ความขลังอาจจะดร็อปลงบ้าง ความน่าสนใจอาจลดลงบ้าง แต่ก็ยังดีครับที่ Grace เล่นเป็นจูดี้ได้ดี สาวน้อยคนนี้น่าจับตาอนาคตเลยครับเพราะเล่นหนังดีตั้งแต่เด็ก และอีกคนที่บทเยอะคือแดเนียลล่า ที่เราจะได้เห็นความคิดจิตใจและมิติของเธอมากสักหน่อย ในขณะที่บทของแมรี่ อัลเลนกลายเป็นบทสมทบไปแทน – ตอนแรกก็นึกว่าบทแมรี่ อัลเลน จะเยอะครับ ไปๆ มาๆ แดเนียลล่าบทเยอะกว่าเฉยเลย
ตอนแรกก็นึกน่ะนะครับว่าหนังจะไม่ค่อยเน้นมิติตัวละคร แต่ไปๆ มาๆ หนังก็แจกแจงได้ไม่เลว อย่างตัวจูดี้เองก็มีปมในใจ ด้วยความที่เธอเป็นลูกสาวตระกูลวอร์เรนที่ใครๆ ก็รู้ว่างานของพวกเขาคือปราบผี นั่นทำให้จูดี้ได้รับผลกระทบ เธอโดนบูลลี่จากเพื่อนนักเรียนด้วยกัน จนมันกลายเป็นปมในใจของเธอไป ดูแล้วก็อดสงสารไม่ได้ครับ – จริงๆ เรื่องเหนือธรรมชาติจะจริงหรือไม่มันก็ประเด็นหนึ่งครับ แต่การที่คนบางกลุ่มไปบูลลี่คนที่เชื่อหรือลูกหลานของคนที่เชื่อมันก็ไม่ใช่อะไรที่น่ารักสักเท่าไร

ตัวแดเนียลล่าเองก็มีปมครับ เป็นปมจากอดีตที่ฝังลึกลงในหัวเธอ แต่เป็นปมอะไรต้องไปดูเพราะยังไม่อยากสปอยล์ ส่วนแมรี่ อัลเลนหนังจะไปเน้นปมในใจที่เธอมีต่อสิ่งที่ได้เจอในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเรื่องหนุ่มๆ หรือความรู้สึกขนพองสยองเกล้าที่เธอมีต่อของอาถรรพ์บางชิ้น เรียกว่าแต่ละคนก็มีปมของตัว อาจไม่ถึงกับลึกซึ้งมากมาย แต่ก็ถือว่าไม่โล่งโถงจนเกินไป
แล้วช่วงกลางๆ ก็จะเป็นช่วงผีอาละวาดตามสูตรครับ เมื่อแอนนาเบลล์และของชิ้นต่างๆ ถูกปลดปล่อย บ้านหลังนั้นก็กลายเป็นมิติผีสางไปเลย ซึ่งสิ่งที่คิดระหว่างดูก็คือ ถ้าภาคนี้ได้ James Wan มากำกับเนี่ย มันจะเป็นอย่างไร?
สำหรับผมแล้ว Wan โดดเด่นมากในเรื่อง Vision ครับ โดยเฉพาะมุมมองที่เขามีต่อผี อันนี้ใครเคยดู Insidious น่าจะพอจำได้ว่าโลกวิญญาณในสายตาของ Wan นั้นมันไม่ใช่แค่มีผีเดินไปเดินมา แต่มันเป็นเหมือนวังวนทางจิต เหมือนเขาวงกตที่ถูกสร้างขึ้นโดยพลังความคิดของผีต่างๆ ในมิตินั้น – หรือไม่มิติเหล่านั้นก็มีอยู่แล้ว ผีที่อยู่ที่นั่นก็เลยบิดเบี้ยวเบี่ยงเบนไปตามสภาพแวดล้อมของมิติ อันนี้แล้วแต่จะลองมองครับ
แล้วคิดดูครับ ภาคนี้เป็นภาคที่ข้าวของอาถรรพ์ต่างๆ ได้สำแดงเดช ซึ่งของแต่ละชิ้นก็มีที่มาต่างกัน มีเรื่องราวต่างกัน มีฤทธิ์ต่างกัน ผมเลยนึกเล่นๆ ครับว่าถ้า Wan มาทำนะ ของแต่ละชิ้นมันจะไม่สำแดงเดชแบบทั่วไป แต่มันจะมาทั้งกระบิ ยกมิติของมันมาไว้ในบ้าน แล้วพวกตัวละครก็จะต้องเจอกับสารพัดมิติอุตลุดอยู่ในบ้านซึ่งคงมาในหลายลีลา หลายรสชาติ หลากสีสันเลยล่ะ
อย่างผีเจ้าสาวที่เอามีดไล่จิ้มประชาชี ถ้าเป็น Wan หรือคนกำกับที่มี Vision สักหน่อย เวลาผีตนนี้ออกโรง มันจะมาพร้อมบรรยากาศ โทน อารมณ์ที่สื่อถึงวิญญาณตนนี้ อาจมาเป็นภาพความบิดเบี้ยว มาเป็นแสงสี รูปลักษณ์ของบ้านหรือบรรยากาศเปลี่ยนไปเสมือนหนึ่งว่าตัวละครหลุดเข้าไปในมิติของผีตนนั้นๆ แบบที่เราเห็นกันมาแล้วในตอนท้ายของ Insidious ภาคแรก
แต่สำหรับสิ่งที่เราเห็นในหนังจริงๆ นั้น มันไม่ได้หลากลีลาแบบนั้นครับ อย่างผีเจ้าสาวก็จะเล่าเป็นภาพลุ่นๆ คือผีสาวถือมืดเดินไปมา อย่างมากก็บิดคอกร็อบแกร็บนิดหน่อยก่อนจะวิ่งไล่แทง หรือผีตนอื่นๆ อย่างผีเหรียญปิดตาอะไรเหล่านี้ ก็จะมาในท่ามาตรฐานครับ ไม่ได้ล้ำมิติจินตนาการมากนัก
ช่วงกลางๆ ที่ผีอาละวาดนั้นก็ถือว่าพอได้น่ะครับ อาจจะเสียนิดหน่อยตรงที่บางช่วงหนังก็เว้นช่วงหลอนนานไป ให้ตัวละครเดินวนแล้ววนอีก กว่าผีจะออกฤทธิ์ก็ช้าไปหน่อย – อย่างที่บอกน่ะครับ ถ้าระหว่างเดินวนมันมีอะไรบิดๆ เบี้ยวๆ เยอะกว่านี้หนังคงน่าสนใจเพิ่มขึ้นเยอะ แต่นี่ส่วนใหญ่ก็มาด้วยมุกมาตรฐานครับ คือมากับความเงียบและความมืด

โดยรวมผมเลยรู้สึกกลางๆ กับหนังครับ คือดูได้เพลินๆ โอเคเป็นบางช่วง แต่ที่มีง่วงเป็นบางช่วงเหมือนกัน ถามว่าระหว่างดูมีสะดุ้งไหม ก็ยอมรับเลยครับว่ามีสะดุ้ง แต่สะดุ้งเพราะตัวผมเองนะ ประมาณว่าดูไปแล้วจู่ๆ ก็หลับใน คอพับลงไปเฉยเลย ก่อนจะกระตุกตื่นด้วยความตกใจ 555
แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกบวกกับหนังนะครับ เพราะหนังก็มาพร้อมประเด็นดีๆ อย่างการสะท้อนความจริงเรื่องการบูลลี่ก็อย่างหนึ่งล่ะครับ อีกประเด็นหนึ่งก็คงเป็น “บางครั้งความเชื่อบางอย่างก็เป็นสิ่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจได้”
อันว่าเรื่องชีวิตหลังความตายรวมถึงเรื่องผีสางนั้น ยังคงถกเถียงได้ไม่สิ้นสุดครับ ซึ่งผมเคารพทุกมุมมองท่านจะเชื่อหรือไม่ย่อมสุดแท้แต่ แต่สิ่งหนึ่งที่หนังชวนให้คิดก็คือ เรื่องพวกนี้บางทีก็เป็นเหมือนยาใจนะ อย่างบางคนอาจกลัวความตายมากมาย แต่ความเชื่อที่ว่ายังมีชีวิตหลังความตาย ก็อาจช่วยบรรเทาความกระวนกระวายเหล่านั้นลง ให้รู้สึกว่าหลังจากเราตายไปก็ยังมีทางไปต่อ
หรือบางคนอาจรู้สึกโดดเดี่ยวเสียศูนย์หลังคนที่รักตายจากไป บางครั้งการเชื่อว่าคนที่เรารักอาจยังดูแลเราอยู่ ยังให้กำลังใจเราจากที่ใดสักที่ อะไรเหล่านี้ก็อาจช่วยพยุงจิตใจเราได้
ความเชื่อเหล่านี้ก็เหมือนยาขนานหนึ่งน่ะครับ เป็นยาทางใจที่หากได้รับในระดับที่พอดีพอเหมาะมันก็จะช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตเราได้ แต่ก็ต้องระวังไม่รับยาเกินจนถึงขั้นหมกมุ่นงมงาย
อีกอันที่ชอบคือตอนที่ลอเรนบอกกับแดเนียลล่าตอนอยู่ในห้องเก็บของอาถรรพ์ว่า “ความชั่วร้ายทั้งหลายในห้องนี้ ทำให้ฉันเห็นความดีงามข้างนอกนั่น” เป็นมุมคิดที่สวยงามและให้พลังดีครับ – และนี่ล่ะครับ รวมถึงบทสรุปตอนท้าย มันคือความน่ารักที่หนังมอบให้แบบเกินคาดอยู่เหมือนกัน
ผมชอบเพลงตอนจบครับ เลือกได้เหมาะมาก เพลง Dancing in the Moonlight ใส่ลงมารับอารมณ์ตอนจบของหนังได้อย่างพอดี
คนกำกับภาคนี้ก็คือ Gary Dauberman เป็นการกำกับครั้งแรกครับ โดยก่อนหน้านี้เขารับหน้าที่เขียนบทให้กับ Annabelle สองภาคแรก รวมถึง The Nun และยังร่วมดัดแปลงบทจากนิยายมาเป็นหนังให้กับ It ทั้ง 2 ภาคด้วย ซึ่งผลงานก็ถือว่ากลางๆ ครับ บางจุดโอเค แต่บางจุดก็ยังโหวงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้เสมอยามที่ผู้กำกับเคยทำงานเขียนบทมาก่อนก็คือ เขาจะใส่ใจเรื่องตัวละครค่อนข้างมากครับ ตัวละครจะดูมีรายละเอียด มีอารมณ์ มีปมไม่โล่งโถง
ในแง่รายได้ถือว่ายังสวยงามอยู่ครับ หนังโกยทั่วโลกไป $231 ล้าน ถือว่าน้อยกว่า Annabelle 2 ภาคแรก แต่หนังลงทุนไป $30 ล้านเท่านั้นครับ จึงถือว่าทำกำไรแน่นอน
ก็ดูได้แบบไม่คิดมากครับ
สองดาวครับ

(6/10)
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Mystery, Supernatural Horror










