
นี่ผมจรดนิ้วเขียนหลังจากเพิ่งดูตอนสุดท้ายของซีซั่น 6 จบหมาดๆ เลยครับ เรียกว่าอารมณ์กำลังอินทีเดียว ยอมรับเลยครับว่าดูจบแล้วยัง Move On ไม่ได้ ในหัวยังคงคิดถึงซีรี่ส์นี้อยู่ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ตลอด 6 ซีซั่นผลัดกันครอบครองพื้นที่ในสมองท่ามกลางความรู้สึกดีๆ เหมือนถูกโอบกอดด้วยเรื่องราวสนุกๆ ที่ผสมกันอย่างพอเหมาะระหว่างความฮาแบบแสบๆ และความอบอุ่นกินใจ ซึ่งก็แน่นอนล่ะครับว่าลองพูดขนาดนี้แล้ว ย่อมบ่งบอกว่าผมตกหลุมรักซีรี่ส์นี้อย่างแน่นอน
บอกเลยครับว่าซีรี่ส์นี้ขึ้นแท่น “เพื่อน” สำหรับผมเรียบร้อย เพื่อนในความหมายนี้คือดูแล้วรู้สึกผูกพันกับเหล่าตัวละครในเรื่อง เจอหน้าพวกเขาก็เหมือนเจอเพื่อนที่พร้อมจะผลัดกันบอกเล่าเรื่องสนุกๆ ให้กันฟัง รวมทั้งดูจนรู้จักรู้ใจแต่ละคน บางครั้งก็ฮาได้แบบเต็มปากเพราะกะถูกว่าเดี๋ยวตัวละครนี้จะต้องมีอะไรรั่วๆ ออกมาแหงๆ หรือไม่ก็ทำเอาน้ำตาไหลเมื่อพวกเขาแสดงความรักความห่วงใยแก่กันแบบไม่ทันตั้งตัว
พล็อตของซีรี่ส์มาในแนว “ไฮโซโกบ้านนอก” ครับ เรื่องของครอบครัวโรสที่แสนจะร่ำรวย แต่ดันเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้สูญทรัพย์สินจนหมดตัว แน่นอนว่าตอนแรกพวกเขาก็ไปไม่เป็นครับ ไม่รู้จะไปไหน ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ จนกระทั่งพวกเขาพบว่าเคยใช้เงินซื้อเมืองๆ หนึ่งเอาไว้ ครอบครัวโรสเลยจำต้องย้ายไปอยู่เมืองที่ชื่อชิทส์ ครีกเพื่อตั้งหลัก แล้วเรื่องป่วนๆ ก็เริ่มจากตรงนั้น
ก็เป็นซีรี่ส์แนวฮาแบบตลกร้ายครับ คือมันจะไม่ได้ตึ้งโป๊ะเน้นฮาด้วยตลกคำพูดหรือตบมุกใส่กัน แต่มันจะฮาเพราะสถานการณ์กับคาแรคเตอร์ของตัวละครมันพาไป มันจะขำกับความล้นความเกินของตัวละครในเรื่อง ไม่ว่าจะเยอะเกิน บ้องแบ้วเกิน ซื่อเกิน ไฮโซเกิน ฯลฯ ซึ่งในเรื่องก็ประกอบด้วยตัวละครหลักอย่างจอห์นนี่ (Eugene Levy) คุณพ่อหัวหน้าครอบครัวที่พยายามคุมสถานการณ์วุ่นวายทั้งหลายด้วยความนิ่งแบบแบ๊วๆ (แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะยิ่งทำให้วุ่นหนักขึ้น), มอยร่า (Catherine O’Hara) คุณแม่สายเยอะ อดีตนักแสดงชื่อดังที่เอาแค่เรื่องแต่งกายก็กินขาด ตามด้วยมาดมั่นแบบเกินร้อย (นี่ก็ทำให้ชาวบ้านต้องหนักใจเป็นประจำเหมือนกัน)
ส่วนคุณลูกทั้งสองก็คือเดวิด (Dan Levy) เกย์หนุ่มที่จัดว่าเยอะไม่น้อยหน้าคุณแม่และบางทีก็แบ๊วไม่แพ้คุณพ่อ และอเล็กซิส (Annie Murphy) สาวน้อยสายปาร์ตี้ที่พยายามสรรหาสีสันความมันส์ให้กับชีวิตด้วยจิตเริงรื่นแบบเกินร้อย ซึ่งความฮาหลักๆ ก็มาจากพวกเขานี่แหละครับ เพราะแต่ละคนก็มีความเยอะเฉพาะตัวแล้วก็ยังติดหรูตามประสาคนรวย ดังนั้นพอต้องมาใช้ชีวิตในเมืองไกลปืนเที่ยงแบบนี้ เอาแค่คุยกับชาวเมืองชิทส์ครีกก็ทำให้ฮาได้เรื่อยๆ แล้วล่ะ

ส่วนชาวเมืองก็ชวนให้ฮาพอกัน ไม่ว่าจะโรแลนด์ ชิทท์ (Chris Elliott) นายกเล็กที่ซื่อเกินร้อย แต่ก็มีความจริงใจไม่จิงโจ้, สตีวี่ (Emily Hampshire) พนักงานเฝ้าโมเต็ลที่พวกโรสไปอยู่ รายนี้ฮาแบบนิ่งๆ ครับ โดยส่วนตัวแล้วผมว่าเธอดูปกติสุดแล้วล่ะ แต่อย่าดูถูกความนิ่งของเธอนะครับ หลายครั้งความฮามันมาแบบกลั้นไม่อยู่ก็เพราะสีหน้าของเธอนี่แหละ
ยังมีโจเซลีน (Jennifer Robertson) ภรรยาใสซื่อของโรแลนด์ที่มักเจอความเยอะของมอยร่าออกฤทธิ์ใส่อยู่เสมอ และทไวล่า (Sarah Levy) สาวเสิร์ฟประจำคาเฟ่ที่หน้ายิ้มได้ตลอดศก และแน่นอนว่าดีกรีความซื่อความแบ๊วก็ไม่น้อยหน้าใคร
ว่าตามจริงผมไม่ได้ชอบซีรี่ส์นี้ในทันทีหรอกครับ ตอนดูปีแรกก็รู้สึกโอเค เพลินๆ ดี แต่ยังไม่ได้ชอบอะไรมาก ในแง่หนึ่งตัวซีรี่ส์เองก็เหมือนกำลังตั้งไข่ด้วยล่ะ จังหวะต่างๆ เนื้อเรื่องต่างๆ และมุกต่างๆ เลยยังไม่จัดเต็ม ครั้นพอปี 2 นี่ก็ถือว่าพัฒนาขึ้น เริ่มเข้ารูปเข้ารอย ซึ่งผมนี่เริ่มเข้าโซนชอบซีรี่ส์นี้แบบจริงๆ จังๆ ก็ตอนสุดท้ายของปี 2 นี่แหละ เพราะซีรี่ส์เริ่มค้นตัวเองเจอแล้ว เริ่มมาถูกทาง
จากนั้นพอขึ้นปี 3 ผมก็รู้สึกสนิทกับซีรี่ส์นี้แล้วครับ จังหวะบ๊ะโบ๊ะเริ่มลงล็อค แล้วที่สำคัญที่ทำให้ผมชอบคือท่ามกลางความฮา ซีรี่ส์จะเริ่มสอดแทรกความน่ารัก ความอบอุ่น ความซึ้งใส่ลงมาแบบกำลังเหมาะ คือไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาบิ้วให้ซึ้ง แต่มันซึ้งไปตามอารมณ์ของสถานการณ์ ซึ่งผมว่ามันเป็นธรรมชาติดีน่ะนะครับ หลายครั้งเลยที่มาแบบไม่ตั้งตัว แต่มันมาแบบเนียนๆ – พอความฮาและความน่ารักอบอุ่นมาเจอกันแบบนี้ ผมเลยเริ่มรักซีรี่ส์ชุดนี้ครับ
จากปี 3 ต่อปี 4 นี่คือความเพลิน ความสนุก และความน่ารักครับ ทุกอย่างไหลลื่น ครั้นมาปี 5 ก็อาจมีบ้างบางตอนที่ดร็อปๆ (คล้ายๆ กับว่าตอนนั้นๆ ถูกใส่ลงมาเพื่อยืดเรื่องให้ครบปี) แต่ก็ไม่มากครับ เพราะตอนลงท้ายของปีก็ยังน่ารักอยู่ ส่วนปี 6 นี่คือของดีเลยครับ เพราะเป็นปีสุดท้าย หลายอย่างเลยจัดเต็มทั้งความฮาที่ตอนนี้ทุกตัวละครเข้าขากันแล้ว เลยพร้อมจะโบ๊ะบ๊ะใส่กันได้ทุกเมื่อ แต่จุดที่ผมชอบมากๆ ของปี 6 คือพัฒนาการของตัวละครทั้งหลายครับ ไม่เฉพาะครอบครัวโรสนะ แต่คือทุกคนเลยที่จะมีซีนของตัวเอง ที่จะมีวาระที่สื่อให้คนดูรู้เห็นว่าพวกเขามีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างไรบ้าง
อันนี้ผมถือเป็นหนึ่งในของดีของซีรี่ส์นี้เลยครับ เพราะไม่ใช่ทุกซีรี่ส์ที่ตัวละครจะมีพัฒนาการเติบโตไปตามกาลเวลาแบบนี้ บางซีรี่ส์นี่ยาวเป็น 10 ปีแต่พัฒนาการของตัวละครจะไม่ค่อยชัด แต่กับ Schitt’s Creek นี่มันทั้งรู้สึกและเห็นภาพ ว่าพวกเขาโตขึ้น แกร่งขึ้น ก้าวไปข้างหน้ามากขึ้น อันนี้มันยิ่งทำให้รู้สึกชอบครับ เพราะแสดงว่า 6 ปีที่พวกเขาอยู่ในเมืองนี้ มันไม่ใช่แค่อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ขำไปวันๆ – แต่ละสถานการณ์นั้นมันมีคุณค่า มันทำให้พวกเขาเติบโต จนเราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีไปกับพวกเขายามได้รับสิ่งดีๆ ในชีวิตอันเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย และรู้สึกประหนึ่งว่าพวกเขามีตัวตนจริงๆ จนเราสัมผัสได้

2 ตอนสุดท้ายของซีรี่ส์นี้คือเพชรน้ำเอกเลยล่ะครับ เป็นการสรุปปิดเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม น่าจดจำ มันทั้ง Feel Good – Feel Grow และ Feel Glow ครับ (มันทั้งรู้สึกดี รู้สึกเติบโต และรู้สึกเปล่งประกาย) อัดแน่นไปด้วยรอยยิ้มและคราบน้ำตา จนผมบอกได้เลยว่า Schitt’s Creek เป็นหนึ่งในซีรี่ส์ที่มีตอนจบสมบูรณ์แบบที่สุดมากๆ เรื่องหนึ่ง – ไม่ใช่ทุกซีรี่ส์นะครับที่จะมีตอนจบที่เจ๋งจริงแบบนี้
พูดได้เต็มปากครับว่าผมรักซีรี่ส์นี้ มันคือรักแบบซึมลึก เป็นความรักที่เกิดจากการใช้เวลาด้วยกันกับตัวละครทั้งหลายในซีรี่ส์นี้แล้วมันผูกพัน มันเข้าใจพวกเขามากขึ้นๆ อันนี้ต้องขอชมทีมเขียนบทและสร้างสรรค์เลยครับ ซึ่งคนที่สร้างซีรี่ส์ชุดนี้ก็ไม่ใช่ใครครับ ก็คือ Eugene Levy เจ้าของบทจอห์นนี่ โรส และ Dan Levy เจ้าของบทเดวิดนั่นเอง ซึ่งพวกเขาเป็นพ่อลูกกันครับ และเพื่อให้ครบถ้วนก็บอกตรงนี้เลยว่า Sarah Levy เจ้าของบททไวล่านั้นก็คือลูกของ Eugene Levy เช่นกันครับ
พ่อลูก Levy สร้างเรื่องราวและตัวละครได้อย่างพอเหมาะจริงๆ ครับ Schitt’s Creek ถือว่ามีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องของเดวิดที่เป็นเกย์นั้น บอกได้เลยว่าเดวิดคือตัวละคร LGBTQ ที่ผมรักมากที่สุดคนหนึ่งในโลกภาพยนตร์ ก็ไม่ปฏิเสธว่าบางทีชีก็เยอะน่ะนะครับ แต่พัฒนาการของเดวิดเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของซีรี่ส์ รวมถึงบทสรุปของชีวิตรักของเขาที่ถูกนำเสนอบอกเล่าอย่างน่ารัก พอเหมาะพอดีคำ ซึ่ง Dan Levy เคยออกมาบอกครับว่าเขานำเสนอประเด็นนี้อย่างประณีต เพราะเขาเข้าใจว่ายังมีคนอีกมากมายที่ยังไม่เข้าใจกลุ่ม LGBTQ หรือบางคนอาจถึงขั้นไม่ชอบหรือรังเกียจเลยก็มี ดังนั้น Dan Levy เลยตั้งใจจะถ่ายทอดบอกเล่าเรื่องของเดวิดให้พอเหมาะที่สุดเพื่อให้เข้าถึงผู้ชมทุกกลุ่มแบบไม่ยัดเยียดจากเกินงาม – และในความเห็นของผมแล้ว เขาทำได้ครับ – อันที่จริงผมว่าเขาทำสำเร็จอย่างสวยงามเลยล่ะ
อยากให้ทุกท่านได้ลองครับ อย่างน้อยก็อยากให้ลองถึงสักปี 3 หากดูแล้วท่านรู้สึกว่ายังไงก็ไม่โดนจะข้ามไปก็ไม่ว่ากันครับ อีกอย่างคือซีรี่ส์นี้ไม่ยาวนักครับ แต่ละปีจะมีแค่ 13 – 14 ตอน ตอนนึงก็ยาวแค่ 20 นาทีหน่อยๆ – อยากให้ลองดูกันครับ
สำหรับเหตุผลตั้งต้นที่ทำให้ผมดูซีรี่ส์นี้อย่างแรกเลยก็คือคะแนนใน IMDB ดูสวยดีครับ และอย่างต่อมาคือได้ Eugene Levy นำแสดง ซึ่งผมชอบลีลาตลกหน้าตายของเขามานานแล้วครับ บางคนอาจจำเขาได้จากบทพ่อของจิมใน American Pie ส่วนผมนั้นจำเขาได้ตั้งแต่ใน Father of the Bride (1991) พี่แกโผล่มาฉากเดียวแต่จำได้แม่นเลยครับ แล้วมาจำได้หนักขึ้นตอนภาค 2 อีก ผมว่าลุงเขาน่ารักน่ะครับ แค่เห็นหน้าผมก็อารมณ์ดีแล้วล่ะ 555
สรุปว่าผมรักซีรี่ส์ชุดนี้ครับ เป็นซีรี่ส์เบาสมองที่ดูเพลิน ขบขัน หลายครั้งสามารถจิกกัดความยุ่งเหยิงซับซ้อนของชีวิตคนได้อย่างคมคาย ที่สำคัญคือความอบอุ่นน่ารักที่ถูกใส่เข้ามาอย่างลงตัว และผมรักทุกตัวละครในเรื่องครับ
มันต้องสี่ดาวแน่ๆ ครับงานนี้

(9/10)
====================
====================
คงต้องขอสปอยล์สักหน่อยละนะครับ
====================
====================

สิ่งที่ผมประทับใจหนักมากในซีรี่ส์นี้คือความรักใคร่ที่ก่อตัวระหว่างตัวละครทั้งหลายครับ อย่างซีนแรกที่ผมประทับใจมากคือตอนจบของปี 2 ตอนที่จอห์นนี่พูดปกป้องเมืองชิทส์ ครีก ที่กำลังโดนเพื่อนเก่าของเขาดูถูก และยังให้เกียรติโรแลนด์กับภรรยา ฉากนี้คือฉากสำคัญที่ทำให้ผมตระหนักว่าผมกำลังดูซีรี่ส์ถูกเรื่องแล้วแน่นอน มันเป็นฉากที่น่ารักครับ และงดงามนะ มันคือการบ่งบอกเลยว่าจากที่ตอนแรกจอห์นนี่ไม่โอเคกับเมืองนี้ แต่กลายเป็นว่าบัดนี้เขารู้สึกรักและสำนึกในสิ่งที่โรแลนด์พยายามทำให้ (แม้ส่วนใหญ่จะยิ่งทำให้เรื่องยุ่งขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโรแลนด์มีความตั้งใจที่ดีจริงๆ)
ฉากแบบนี้ชอบโผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัวครับ และพอโผล่ทีไรมันจะได้ใจทุกที อย่างตอนที่อเล็กซิสจบการศึกษา แล้วทำท่าว่าจะไม่มีใครไปร่วมงานจบการศึกษากับเธอเลย แล้วจู่ๆ มอยร่าโผล่ขึ้นไปร้องเพลงประสานเสียงเพื่อเซอร์ไพร์สเธอ ฉากนี้น้ำตาไหลไม่รู้ตัว มันซึ้งจนไม่รู้จะซึ้งยังไง
อีกฉากที่ชอบและมาแบบเงียบๆ คือตอนที่จอห์นนี่ สตีวี่ และโรแลนด์ไปพรีเซนต์นำเสนอโปรเจคท์ธุรกิจในเมืองใหญ่ แล้วกลายเป็นว่าพวกนักธุรกิจเหล่านั้นล้อเลียนพวกเขาลับหลัง แล้วโรแลนด์ไปได้ยินเข้า จากนั้นโรแลนด์ก็ทนไม่ได้และพูดเพื่อให้คนพวกนั้นรู้ว่าจอห์นนี่ที่พวกเขากำลังล้อเลียนน่ะ เป็นคนดีสุดยอดมากแค่ไหน ผมชอบฉากนี้เพราะมันคือการสื่อแบบชัดเจนครับว่าโรแลนด์เองก็นับถือจอห์นนี่ และรู้สึกได้ถึงความทุ่มเทที่จอห์นนี่มีต่อโมเต็ล แม้ส่วนใหญ่โรแลนด์มักจะทำตัวไม่รู้ไม่เห็นก็เถอะ แต่ฉากนี้มันสื่อว่าเขาเห็นและเขาสัมผัสได้น่ะ
และถ้าจะมีอะไรที่ผมปลื้มมากๆ ในซีรี่ส์นี้ก็คือเรื่องราวความรักระหว่างเดวิดและแพทริค (Noah Reid) นี่แหละครับ คือพวกเขาโคตรจะน่ารักน่ะ เป็นคู่รักที่ไนซ์และน่าเอาใจช่วยมากๆ ฉากแรกที่พวกเขาเจอกันนั้นถูกนำเสนออย่างเรียบง่าย แต่อะไรบางอย่างบอกผมในใจว่าคู่นี้ดูน่ารักและเหมาะกัน ดังนั้นผมเลยดีใจมากๆ ยามที่พวกเขามารักกันในที่สุด และบอกเลยครับว่าเวลาคู่นี้แสดงความรัก แสดงความกุ๊กกิ๊กต่อกันเนี่ยผมยิ้มจนรู้เลยว่าแก้มตัวเองยกแบบสูงมากๆ คือผมรักพวกเขาน่ะครับ แล้วภาพที่ปรากฏมันคือความรักที่สวยงามมากจริงๆ จนอดไม่ได้ที่จะยิ้มแบบกว้างๆ
ผมชอบตอนที่พวกเขาไปเดินป่ากันน่ะครับ ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรนะ แต่พอพวกเขาเดินไปจนถึงที่หมาย แล้วแพทริคก็ค่อยๆ ย่อตัวลงคุกเข่า ฉากนี้ผมน้ำตาไหลเลยครับ เพราะรู้แล้วว่าแพทริคดั้นด้นพาเดวิดขึ้นเขามาทำไม อันนี้ผมยกนิ้วให้ Reid เลยนะ เขาสื่อสารความรักผ่านทางภาษาพูดและภาษากายได้อย่างยอดเยี่ยม ดูแล้วเชื่อจริงๆ น่ะครับว่าคู่นี้เขารักกันมากขนาดไหน – ส่วน Dan Levy ไม่ต้องพูดถึงครับ ขานี้เล่นได้ลื่นมาตั้งแต่แรกแล้ว

บทสรุปของซีรี่ส์เป็นอะไรที่น่าจดจำมากครับ ผมชอบที่ทุกตัวละครในเรื่องมีบทสรุปให้เราได้รับรู้ หรืออย่างน้อยก็ต้องสื่อความรู้สึกบางอย่างให้เราได้สัมผัสว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับครอบครัวโรส มันให้อารมณ์แบบ This is the Real Thing ที่เราดูเราเห็นมันคือของจริง คือก็รู้อยู่ล่ะครับว่ามันคือซีรี่ส์ที่ถูกสร้างขึ้น แต่การนำเสนอ บอกเล่าต่างๆ มันทำให้เรารู้สึกราวกับว่าเรื่องราวมันจริง ตัวละครในเรื่องก็มีตัวตนจริงๆ มันทำให้เราคิดไปได้ถึงขนาดนั้นทีเดียว
การสรุปเรื่องราวของ 4 ตัวละครหลักก็ลงตัวมากครับ จอห์นนี่ก็ได้คืนยุทธจักรธุรกิจ มอยร่าได้คืนสู่โลกมายา เดวิดได้พบรักแท้และบ้านที่แท้จริงของเขา ส่วนอเล็กซิสเองก็เติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น และคิดเป็นมากขึ้น ฉากที่เธอกับทไวล่าบอกลากันเป็นอะไรที่น่ารักครับ ยอมรับว่าฉากนั้นพอดูจบแล้วผมแอบโหวงนะ มันเหมือนใครคนหนึ่งกำลังบอกลาเพื่อนคนหนึ่งจริงๆ แบบนั้นเลย – ยอมรับเลยว่าซีรี่ส์นี้มัน Touched my Heart มากกว่าที่ผมจะคาดคิดอีกนะเนี่ย
และฉากสุดท้ายที่จอห์นนี่หันมามองป้ายของเมืองเป็นครั้งสุดท้ายนั้น สำหรับผมเป็นฉากที่มีความหมายมากๆ ครับ – ผมรักซีรี่ส์นี้จริงๆ ให้ดิ้นตายเถอะ
มีเกร็ดเล็กน้อยอยากนำมาบอกครับ คือหลายคนอาจสังเกตว่าตัวละครมัท ชิทท์ (Tim Rozon) ลูกของโรแลนด์ที่ตอนแรกทำท่าจะมาเป็นคู่กับอเล็กซิส จู่ๆ กลับหายไปหลังจบปี 2 เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะตอนนั้น Rozon ต้องไปรับบทด็อก ฮอลลิเดย์ในซีรี่ส์ Wynonna Earp ครับ ซึ่งบทก็ถือว่าเด่นกว่าบทมัทอยู่พอตัว เขาเลยเลือกไปแสดงเรื่องนั้นแทน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมตัวละครมัทถึงหายไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นั่นก็เพราะดาราไปเล่นซีรี่ส์เรื่องอื่นนั่นเองครับ
หลังจากผมดูซีรี่ส์จบ จู่ๆ ผมก็นึกนะว่าถ้าเปรียบเทียบ 4 สมาชิกครอบครัวโรสเป็นสัตว์ ใครจะเป็นตัวอะไร แล้วผมก็ได้คำตอบว่า…
จอห์นนี่ เป็นเหมือนกวางครับ เขาดูมีความสง่านะ แต่ก็มาพร้อมความเหนียมอาย คล้ายกวางที่อาจจะกระโดดเหยงไปทางอื่นได้หากเจออะไรไม่คุ้นชิน แต่สุดท้ายแล้วเขาจะหันกลับมามองสิ่งนั้นๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ และจะก้าวเข้าไปหาสิ่งที่ไม่คุ้นเคยนั้น หลังจากที่เขามั่นใจว่าตนเองจะสามารถจัดการกับมันได้ – แต่ถ้าอันไหนจัดการไม่ได้ พี่เขาก็กระโดดเหยงต่อครับ
ส่วนมอยร่าเป็นเหมือนนกยูง นี่ชัดเลย เจ๊แกรำแพนหางทุกตอน ชุดใส่ไม่ซ้ำ วิกผมเปลี่ยนมันทุกตอน ทำอะไรก็เล่นใหญ่เสมอ ขนาดเรื่องเล็กๆ เจ๊แกยังขยายขนาดจนใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ และปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าสิ่งที่เจ๊แกทำจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม แต่ทุกคนจะต้องหันมามองและพูดถึงเธอเสมอ ไม่ว่าจะด้านบวกด้านลบ แต่ยังไงก็ต้องพูดถึงครับ ไม่มีใครที่จะไม่สนใจ
เดวิดเป็นเหมือนหมีครับ นี่ไม่ได้หมายถึงชุดที่มักจะเน้นขนและเน้นลายนะ แต่ท่าทางเขาจะดูมีความอบอุ่นอยู่ลึกๆ แล้วจริงๆ เขาเป็นคนประเภทที่หากคิดตั้งใจจะทำอะไรแล้ว เขาจะทำได้เสมอ แต่ก็จะขาดความมั่นใจในบางวาระ แต่หากเขามุ่งมั่นจะทำแล้ว เขาจะยืนหยัดทำมันอย่างเต็มที่ให้สำเร็จ หรือแม้กับบางอย่างที่เขาไม่อยากทำก็ตาม แต่หากเขาเริ่มแล้วหรือรับปากใครไปแล้ว เขาก็จะต่อให้จบ
และอเล็กซิสเป็นเหมือนหนูแฮมสเตอร์ครับ เธอน่ารัก ดูยุกยิ๊กจุ๊กจิ๊กกุ๊กกิ๊กปุ๊กปิ๊กมุกมิ๊ก ฯลฯ ตอนแรกจะดูเหมือนเป็นคนหยิบหย่งไม่ค่อยทำอะไรมาก แต่หากเมื่อใดที่เธอหมายมั่นตั้งใจ เธอจะลุยแบบเต็มที่ ยิ่งตอนหลังๆ จะยิ่งเห็นครับว่าเธอมุ่งมั่นแค่ไหน โดยเฉพาะการพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อตัวเธอและคนอื่น แม้บางครั้งการทำสิ่งนั้นจะต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดบ้างก็ตาม แต่หากมันเป็นทางที่ดี เธอก็จะคงยืนยันทำมัน
ผมรักพวกคุณครับครอบครัวโรส รวมถึงพวกคุณด้วยชาวชิทส์ ครีก ^_^











