
เคยดู Spy Kids 4: All the Time in the World รอบนึงครับ เท่าที่จำได้คือไม่ได้ประทับใจอะไรนัก รู้สึกได้ว่าดีกรีความสนุกสู้ 3 ภาคแรกไม่ได้ และว่าตามจริงคือออกจะลืมๆ รายละเอียดไปแล้วด้วย แต่ล่าสุดก็เอามาย้อนดูอีกรอบเพื่อต้อนรับภาคใหม่ และกลายเป็นว่าผมโอเคกับหนังมากขึ้นครับ ส่วนหนึ่งก็น่าจะเพราะหัวมันจัดการปรับความคาดหวังให้พอดีกับหนังที่ดูแบบอัตโนมัติน่ะครับ – ประมาณว่ารู้ว่าจะดูอะไร ใจมันก็เลยปรับตามในระดับหนึ่ง
ภาคนี้ตัวเอกคือมาริสซ่า คอร์เตส (Jessica Alba) ที่แต่งงานกับวิลเบอร์ วิลสัน (Joel McHale) โดยวิลเบอร์นั้นมีลูกติดมาด้วย 2 คน ได้แก่ รีเบคก้า (Rowan Blanchard) และเซซิล (Mason Cook) ซึ่งรีเบคก้านั้นไม่ใคร่จะถูกกับมาริสซ่าสักเท่าไร แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องครับ เนื่องจากมาริสซ่าน่ะเป็นอดีตสายลับ OSS แล้วก็มีวายร้ายตัวใหม่นามว่าไทม์คีปเปอร์โผล่มาพร้อมแผนร้าย ส่งผลให้มาริสซ่าต้องลงสนามอีกหน แล้วรีเบคก้ากับเซซิลก็เลยพลอยติดร่างแหเข้าสู่การผจญภัยด้วย
ผมชอบ 3 ภาคแรกมากกว่าครับ ส่วนสำคัญเลยคงเพราะ 2 สายลับจิ๋วรุ่นแรกอย่าง Alexa Vega และ Daryl Sabara ทำผลงานเอาไว้ดี เล่นได้ลื่น ดูมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง บทกับคาแรคเตอร์ก็พอเหมาะ แล้วก็เล่นเข้าขากันประหนึ่งเป็นพี่น้อง ในขณะที่ตัวหนังก็ออกแนวผจญภัยแบบเพลินๆ ไหนจะดารารับเชิญคุ้นหน้าโผล่มาสร้างความบันเทิง ผลลัพธ์ของไตรภาคแรกเลยถือว่าน่าพอใจ – แม้ความอร่อยจะดร็อปลงตามลำดับก็ตาม
ส่วนภาคนี้เสน่ห์ของ 2 ดาราเด็กอย่าง Blanchard และ Cook อาจยังไม่เยอะครับ จริงๆ Cook น่ะถือว่าโอเค ใช้ลีลาหน้าเอ๋อแล้วก็ตลกหน้าตายเอาตัวรอดได้อยู่ ส่วน Blanchard นั้นต้องโทษบทที่กำหนดให้ให้บางทีก็ไม่น่ารักครับ ไม่ว่าจะความดื้อ หรือการก่อเรื่องก่อกวนคนอื่นๆ ซึ่งจะต่างจากคาเมนในไตรภาคแรกที่แม้จะมีความแสบและชอบก่อกวนน้อง แต่ก็ยังมีความฉลาดและน่ารัก และพอถึงเวลาสำคัญก็พร้อมจะทำเพื่อครอบครัว ในขณะที่เด็กคู่นี้ไม่ค่อยมีวาระแบบนั้นสักเท่าไรครับ
ส่วนดาราผู้ใหญ่ก็ถือว่ายังโอเคครับ ยังช่วยประคองหนังได้บ้าง ไม่ว่าจะ Alba หรือ McHale แต่รายที่ผมถือว่าเป็นสีสันที่น่าพอใจคือ Jeremy Piven ที่เล่นอยู่หลายบท และโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกดีใจที่ได้เห็น Vega และ Sabara กลับมาปรากฏตัวในฐานะพี่น้องสายลับอีกหน จนใจน่ะอยากให้มันเป็นเรื่องของพวกเขาไปเลยน่ะครับ อย่างที่เคยบ่นๆ น่ะแหละว่าน่าจะทำ Spy Teens ต่อออกมา – นี่หมายถึงถ้าอยากทำภาคต่อน่ะนะครับ เพราะวัตถุดิบหลักอย่าง 2 ดารานำน่ะไหนๆ ก็ค้นจนเจอแล้ว ก็น่าจะเอามาสานต่อ
แต่ก็ได้ข่าวว่าจริงๆ พี่ Robert Rodriguez แกไม่ได้อยากทำภาคต่อนะครับ คือใจจริงตอนนั้นน่ะพี่เขายังไม่คิดจะทำต่อเลย แต่พอดีตอนนั้นโปรเจคท์หนัง Grindhouse (ที่พี่เขาทำกับ Quentin Tarantino) เกิดล่มครับ แม้ตัวหนังจะได้รับคำชมแต่มันมาตรอมตรมตรงรายได้ที่ถือว่าเจ๊ง แล้วเขายังติดสัญญาต้องทำหนังอีก 1 เรื่องให้ Harvey Weinstein ซึ่ง Weinstein แทงเรื่องลงมาเลยว่าอยากให้ทำภาคต่อสักเรื่อง Rodriguez เลยจำใจต้องทำ Spy Kids ภาคนี้ออกมาตามสัญญา
และความสนุกอีกอย่างของภาคก่อนๆ คือการผจญภัยครับ ที่สายลับจิ๋วได้ออกภาคสนามไปผจญภัยตามที่ต่างๆ ในขณะที่ภาคนี้มันไม่ค่อยได้ผจญภัยหลากหลายสักเท่าไร ส่วนใหญ่ก็วิ่งวนไปมาระหว่าง OSS กับฐานของผู้ร้าย เอาแค่ตอนที่ 2 พี่น้องโดนกักไว้ที่ OSS ก็ล่อไปหลายนาทีแล้วครับ มันจะไม่เหมือนภาคก่อนๆ ที่เรื่องราวมันจะเดินหน้าไม่หยุด ผจญภัยจากที่นั่นไปต่อที่โน่น มันมีอะไรเคลื่อนไหวตลอดเลยทำให้มันพอจะเพลิน อีกอย่างคือ 2 ตัวนำของเราก็จะค่อยๆ เติบโตขึ้นตามการผจญภัยด้วย แต่กับภาคนี้เรื่องมันออกจะเซื่องกว่าน่ะครับ ความสนุกเลยลดลง แล้วเมื่อมาบวกกับ 2 ดาราเด็กที่ยังไม่โดนเท่าของเก่า พลังของหนังเลยลดลงไปพอตัว

แล้วมีอย่างหนึ่งที่ออกจะตะหงิดเป็นการส่วนตัว นั่นคือหนังเล่นกับเรื่องการผายลมหรือไม่ก็สิ่งปฏิกูลค่อนข้างบ่อยครับ สำหรับบางคนมันอาจตลกนะ แต่มันไม่แนวสำหรับผมน่ะครับ (แม้ผมจะมีลูกแล้วและเข้าใจบางอารมณ์ของบางมุกก็เถอะ) หลายช่วงนี่ตระหนักเลยว่าหน้าผมคงมุ่ยๆ ระหว่างดูยามหนังพยายามเล่นมุกตลกกับอะไรเหล่านี้
แต่ก็อย่างที่บอกครับว่าการดูรอบใหม่ของผมนั้นผมรู้สึกโอเคกับหนังมากขึ้น เพราะสารพัดสิ่งที่ผมบ่นไปนั้นผมทำใจรับไปเรียบร้อยแล้ว การดูรอบใหม่เลยยอมรับกับอะไรพวกนั้นได้ แล้วก็หันไปโฟกัสของเข้าท่าๆ ในหนังแทน ซึ่งก็คืองานสร้างและงานออกแบบต่างๆ น่ะครับ ไม่ว่าจะอาวุธ ตึกรามบ้านช่อง อาคารฐานทัพลับต่างๆ ที่ออกแบบให้เป็นแนวแฟนตาซี ยิ่งธีมของเรื่องเกี่ยวกับเวลา เราก็จะได้เห็นองค์ประกอบของฉากต่างๆ สื่อถึงเวลา ก็ดูแปลกตาไม่เลว อะไรเหล่านี้ Rodriguez ทำได้ดีครับ ร่วมกับเหล่าโปรดักชั่นดีไซเนอร์อย่าง Caylah Eddleblute และ Steve Joyner ที่ร่วมงานกับ Rodriguez มานาน งานสร้างอะไรเหล่านี้เลยไว้ใจได้ครับ ถือเป็นอาหารตาและอาหารจินตนาการที่ไม่เลว ดูๆ ไปมันก็เพลินดีเหมือนกัน
อีกอย่างที่ชอบก็คือปมของตัวร้ายไทม์คีปเปอร์น่ะครับ ถือว่าเข้าท่านะ ดูมีที่มาที่ไป ดูแล้วก็เชื่อว่ามันมีพลังมากพอที่จะทำให้เขาตัดสินใจวางแผนทำอะไรแบบนี้ออกมา ก็ถือว่าเป็นตัวร้ายที่มีมิติครับ และคนที่รับบทตัวร้ายนี่ก็เล่นได้ดีด้วย – และประเด็นการเล่นกับเวลา การเอาเวลามาเป็นตัวประกันในการก่อการร้ายก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวอีกเช่นกัน มันดูไซไฟดีน่ะครับ
และทำเป็นเล่นไปนะครับ หนังถือว่าทำเงินนะ หนังลงทุนไป $27 ล้าน แล้วก็ได้คืนมา $85 ล้านจากทั่วโลก เอ้า ถือว่าเข้าโซนกำไรนะนั่น
การดูหนังภาคนี้ของผมในรอบล่าสุดเลยออกจะโอเคครับ คือไม่ได้ชอบอะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ จริงๆ คือพอปรับความคาดหวังรับกับสิ่งที่หนังเป็นแล้ว มันก็โอเคขึ้น แต่ก็คงไม่เอากลับมาดูซ้ำบ่อยๆ แบบ 3 ภาคแรกน่ะครับ
ยังไม่ถึงสองดาวครับ

(5/10)










