Drama

Last Night in Soho (2021) ฝัน-หลอน-ที่โซโห

Untitled06303

ว่าตามจริง Last Night in Soho คือหนังแนวตามสืบคดีฆาตกรรมและหาตัวฆาตกรแบบที่เราเคยเห็นกันมานักต่อนักแล้วนะครับ แต่จุดที่ทำให้หนังมีความสดขึ้นมาหน่อยก็คือลีลาลูกเล่นในการเล่าเรื่องและการนำเสนอของผู้กำกับ Edgar Wright

หนังเล่าเรื่องของเอโลอิส เทอร์เนอร์ หรือ เอลลี่ (Thomasin McKenzie) สาวน้อยที่ใฝ่ฝันจะมาเรียนแฟชั่นในมหานครลอนดอน ครั้นพอเธอได้มาเรียนจริงๆ เธอกลับต้องพบกับปัญหาด้านการปรับตัวครับ ประมาณว่าเธอเข้ากับเพื่อนร่วมห้องไม่ได้ เลยตัดสินใจออกไปเช่าห้องอยู่เอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอฝันถึงภาพชีวิตของหญิงสาวที่ชื่อแซนดี้ (Anya Taylor-Joy) ที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุค 60

ช่วงต้นๆ มันก็ดูสนุกดีล่ะครับ แซนดี้พยายามไต่บันไดหวังจะเป็นดาวในลอนดอน แต่กลายเป็นว่าเมื่อเวลาผ่านไปชีวิตของเธอกลับหม่นมืดลงเรื่อยๆ จากเดิมแฟนหนุ่มของเธอที่ชื่อแจ็ค (Matt Smith) ทำท่าว่าจะส่งเธอให้เป็นดาว แต่กลับกดขี่เธอและเอาประโยชน์จากเธอมากขึ้นๆ จนเอลลี่ที่จับตาดูอยู่สงสัยว่าแจ็คอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้แซนดี้หายตัวไป อันนำมาสู่การตามปมไขปริศนาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับแซนดี้กันแน่

ความเพลินของหนังเกิดจากพลัง 2 อย่างใหญ่ๆ ครับ อย่างแรกคือการแสดงเยี่ยมๆ ของเหล่าดารานำเริ่มจาก Taylor-Joy ที่สวมบทสาวสดใสแซนดี้ได้อย่างมีชีวิตชีวา เธอดูเปี่ยมพลัง เปี่ยมเสน่ห์ เปี่ยมความมั่นใจ แววตาดูน่าค้นหา ครั้นพอถึงช่วงที่ชีวิตเธอเริ่มสะดุด แววตาและท่าทางของเธอก็สื่อถึงอารมณ์ในห้วงเวลานั้นได้อย่างน่าสนใจ มันคือการผสมกันระหว่างความแกร่งและความทะนงที่เธอมี ผสมกับความสิ้นหวังที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจ

ส่วน McKenzie ก็เล่นดีไม่น้อยหน้าครับ ดูแล้วเชื่อว่าเธอหมกมุ่นกับภาพชีวิตของแซนดี้มากๆ ยิ่งเวลาผ่านไปเธอยิ่งดูหมกมุ่นแบบซึมลึกเข้าไปในหัวและในใจ จะนิยามว่าหลอนก็ได้เหมือนกันครับ เหมือนเธอหลอนกับภาพเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา ในบางขณะที่เราก็อดสงสารเธอไม่ได้ครับ แต่ขณะเดียวกันหนังก็กระตุ้นเราให้เราอยากรู้ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกับแซนดี้กันแน่ – ประมาณว่าแม้เธอจะทำให้เราสงสาร แต่เราก็ยังอยากให้เธอตามสืบเรื่องของแซนดี้ต่อไปเรื่อยๆ (แม้เธอจะต้องโทรมยิ่งกว่านี้) เพื่อตอบสนองต่อมความอยากรู้ของเรา – ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจดีครับ

ดารารายอื่นก็แสดงได้เหมาะครับ ไม่ว่าจะ Smith ที่พกหน้าตาไม่น่าไว้วางใจมาใช้ได้อย่างเหมาะเหม็ง ตามด้วย Terence Stamp ในบทชายชราปริศนาที่โผล่มาให้เอลลี่เจออยู่บ่อยๆ รายนี้ก็ถนัดเหมือนกันกับบทสไตล์นี้ อีกคนก็ Michael Ajao ในบทจอห์น หนุ่มผิวสีที่แอบมีความรู้สึกดีๆ ให้เอลลี่ซึ่งไปๆ มาๆ ผมสงสารเขาน่ะครับ เพราะชีวิตเขาต้องมาป่วนอย่างมากมายเพราะอยากรู้จักและใกล้ชิดกับเอลลี่นี่แหละ

แล้วก็ยังมี Diana Rigg ในบทคุณคอลลินส์ เจ้าของห้องเช่าที่เอลลี่เข้าไปอยู่ รายนี้ก็มาพร้อมลีลาเล่นน้อยๆ แต่ก็น่าจดจำ – และนี่คือผลงานการแสดงชิ้นสุดท้ายของเธอครั เพราะเธอเสียชีวิตหลังหนังปิดกล้อง และก่อนที่หนังจะได้เข้าฉาย ก็ขอไว้อาลัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

Untitled06304

พลังการแสดงถือเป็นของดีที่ทำให้หนังน่าติดตามครับ และของดีอย่างต่อมาคือเทคนิคลีลาต่างๆ ที่ Wright นำมาใช้ ไม่ว่าจะการถ่ายภาพ การใช้มุมกล้อง การใช้แสดงสี และเล่นกับเทคนิคภาพต่างๆ (โดยเฉพาะฉากที่ McKenzie กับ Taylor-Joy เป็นภาพสะท้อนในกระจกของกันและกัน) ลูกเล่นเหล่านี้ทำให้หนังดูสนุกขึ้นครับ

ในแง่ของเนื้อหา การสืบสวน และการตามปมต่างๆ หากใครคุ้นเคยดูหนังแนวนี้มาเยอะๆ ก็อาจเดาทางได้ไม่ยากครับ ส่วนผมนั้นบอกตรงๆ ว่าไม่ได้เดาเลย ส่วนหนึ่งอาจเพราะเพลินกับการแสดงดีๆ และเทคนิคภาพต่างๆ ที่ช่วยดึงความสนใจอยู่ตลอด ดังนั้นท่านจะดูหนังเรื่องนี้ได้สนุกหรือไม่ ส่วนหนึ่งคงขึ้นอยู่กับรสนิยมด้วยครับ หากถูกจริตกับการนำเสนอและลีลาแบบ Wright ก็น่าจะสนุกเพลินไปกับหนัง

แต่หากเฉยๆ กับสไตล์ของ Wright มาแต่ไหนแต่ไร แล้วยังเดาทางพล็อตแนวสืบสวนแบบนี้ได้อยู่แล้วด้วยล่ะก็ หนังก็อาจดูเรื่อยๆ หรือไม่ก็น่าเบื่อสำหรับท่านครับ

แต่สำหรับผมนั้นถือว่าเข้าทางครับ แม้มันจะไม่ได้สดใหม่แปลกใหม่ไปเสียทั้งหมด แต่ลีลาพอเหมาะ ลูกเล่นกำลังดี ดาราก็ดี เลยดูหนังอย่างคล่องคอ แต่ถ้าถามว่ามีจุดให้ตะขิดตะขวงใจไหม ว่ากันจริงๆ มันก็มีครับ มีบางแหละช่องโหว่หรือไม่ก็จุดที่ดูแล้วแอบหงุดหงิด แต่ก็พอจะมองข้ามไปได้ครับ เพราะของที่เข้าท่ามันมีปริมาณมากกว่า

อ้อ ของดีอีกอย่างคือเพลงครับ อันนี้ Wright ใส่ลงมาได้ดีเสมออยู่แล้ว ทุกเพลงที่ใช้ในหนังมันเหมาะกับการนำเสนอในแต่ละฉากครับ มันช่วยขับเน้นอารมณ์ให้ฉากนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี และแต่ละเพลงยังเพราะระดับค้างฟ้าอีกต่างหาก เอาแค่เพลงเปิดตัวแซนดี้อย่าง You’re My World นี่ก็ทำให้ขนลุกได้อย่างมากมายแล้ว นี่เป็นอีกของดีที่ทำให้หนังดูเพลินยิ่งขึ้นครับ

ในแง่สาระแล้วหนังถือว่าเป็นการสะท้อนโศกนาฏกรรมของผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับโลกที่มีผู้ชายเป็นใหญ่ โลกที่ผู้ชายมีอำนาจและคิดจะทำอะไรก็ได้ที่ตนอยากทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง มันไม่แปลกเลยครับหากใครก็ตามที่เจออะไรแบบนี้จะสิ้นหวัง หดหู่ หรือแทบเป็นบ้า ซึ่ง Wright เองก็บอกเอาไว้ครับว่าเหตุผลหนึ่งที่เขาทำหนังเรื่องนี้ออกมาก็เพื่อสะท้อนด้านมืดของลอนดอนและโซโหเมื่อวันวาน ซึ่งแม่ของเขาเคยเล่าให้ฟังว่าในยุค 60 นั้นเธอและเพื่อนเคยไปเที่ยวย่านโซโห แล้วก็โดนพวกผู้ชายมารังควานและตามก่อกวน – อะไรเหล่านี้คือความจริงอันหม่นมืดที่ถูกซุกไว้ท่ามกลางแสงสีในเมืองอย่างลอนดอนที่หนังได้สะท้อนออกมา

สรุปคือเข้าทางครับเรื่องนี้ ดูเพลิน ดูอร่อย Wright สามารถเอาหนังฆาตกรรมมาปรุงในสไตล์ของเขาได้อย่างเข้าท่า นี่ผมว่ากะจะเอามาดูซ้ำอีกสักรอบครับ ของแบบนี้มันเข้าทางจริงๆ โดยเฉพาะลีลาเทคนิคกล้องต่างๆ อะไรแบบนี้แหละครับที่ถือเป็นสุนทรียะของ “ภาพยนตร์ “

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22

(7.5/10)