Drama

Welcome to Mama’s (2022) ร้านอาหารอิ่มรัก

Untitled06115

Welcome to Mama’s เรื่องนี้สร้างความประทับใจให้ผมแบบซึมลึกครับ คือดูแล้วไม่ได้ชอบในทันที และว่าตามจริงหนังไม่ได้สมบูรณ์พร้อมเจ๋งเป้งอะไรขนาดนั้น แต่หนังน่ะมีดีอยู่ครับ และสิ่งดีๆ (ทั้งเรื่องราวดีๆ, แง่คิดดีๆ และความรู้สึกดีๆ) มันค่อยๆ ถูกบ่มอยู่ภายในใจเราระหว่างที่ดู จนผมบอกได้ว่าหนังเรื่องนี้ถือว่าน่าดูไม่น้อยสำหรับคนที่ชอบหนังโรแมนติกผสม Feel Good สไตล์ Hallmark

เอมี่ (Melanie Scrofano) ได้รับมรดกเป็นร้านอาหาอิตาเลียนของมาม่า (Lorraine Bracco) หญิงสูงวัยที่เธอนับถือประหนึ่งแม่ของตนเอง เมื่อมาม่าจากไปเอมี่ก็มายังร้านเพื่อรับช่วงต่อ เธอหมายมั่นที่จะทำให้ร้านอาหารแห่งนี้ฟื้นคืนชีวิตกลับมาให้จงได้ และเธอก็ได้พบกับแฟรงค์ (Daniel di Tomasso) เชฟประจำร้านที่มีวิถีแนวทางในการทำอาหารที่ต่างออกไป แน่นอนว่าพวกเขาก็มีขัดกันบ้าง เห็นต่างกันบ้างจนบางครั้งก็เกิดปัญหาต่อกัน

แต่ยังดีครับที่มาม่าได้ทิ้งตำราสูตรอาหารไว้ให้กับเอมี่เพื่อใช้เป็นแนวทางในการทำร้าน และในตำราที่ว่ายังสอดแทรกไว้ด้วยเรื่องราวของมาม่าที่มอบแง่คิดชีวิตดีๆ ให้กับเอมี่นำไปใช้ในการตั้งหลักทำร้านด้วย

ผมชอบโครงสร้างของหนังครับ ตัวหนังดำเนินไปด้วย 2 แก่นแกนหลัก แก่นแรกคือเรื่องรักๆ ระหว่างเอมี่และแฟรงค์ที่มีช่วงน่ารักบ้าง มีช่วงเก๊กใส่กันบ้าง หรือพ่อแง่แม่งอนบ้าง ซึ่งทั้ง Scrofano และ Tomasso ทำหน้าที่ได้ดีครับ พวกเขาแสดงได้น่ารัก เคมีเข้ากันได้ พวกเขาดูมีความเป็นตัวของตัวเอง มีอัตตาในระดับที่ถือว่าพอๆ กัน แต่ขณะเดียวกันก็มีความเหมาะสมเข้ากันผสมอยู่ด้วย พัฒนาการความรักของพวกเขาในหนังนี่ถือว่าดำเนินไปอย่างพอเหมาะและน่าเชื่อครับ ที่สำคัญคือทำให้เราอยากเอาใจช่วยให้พวกเขาได้อยู่คู่กันด้วย

ส่วนอีกแก่นหนึ่ง ซึ่งเป็นแก่นที่ผมชอบมาก คือแก่นเรื่องในส่วนของมาม่าครับ แม้ในเรื่องมาม่าจะจากไปแล้ว แต่หนังก็ใช้วิธีย้อนเล่าเรื่องราวชีวิตของมาม่าผ่านตำราสูตรอาหารที่นอกจากจะบันทึกสูตรต่างๆ แล้ว ยังมีการบันทึกเรื่องราวชีวิตของมาม่าและคนที่เธอรัก ว่ากว่าจะรักกันได้ กว่าจะเปิดร้านนี้ได้ กว่าจะคิดอาหารแต่ละสูตรได้นั้น เธอต้องเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งเนื้อเรื่องส่วนนี้มาพร้อมแง่คิดดีๆ และอารมณ์ Feel Good ครับ ยอมรับเลยว่าผมชอบเนื้อเรื่องส่วนนี้มาก ดูแล้วมันอิ่มเอมอิ่มใจ ได้ทั้งแง่คิด ได้ทั้งความสุข และยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่มาม่าได้ทิ้งไว้ในโลก แม้ตัวเธอจะจากไปแล้วก็ตาม

ดาราในเรื่องก็แสดงกันได้พอเหมาะ Scrofano ที่หลายคนอาจคุ้นเคยเธอจาก Wynonna Earp รายนี้แสดงอารมณ์ผ่านสายตาได้ดี ยิ่งตอนเธอเกิดความกลัว ไม่มั่นใจ หรือเหม่อลอยนี่มันจะชัดมากครับว่าเธอกำลังมีอะไรในใจ ส่วน Tomasso นี่ถือเป็นส่วนผสมระหว่างท่าทางแบดหน่อยๆ แบบ Johnathon Schaech (That Thing You Do!) กับลีลาขี้เล่นโปรยเสน่ห์แบบ Michael Weatherly (NCIS) ถือว่าน่ารักในแบบของเขาครับ

Untitled06116

ส่วน Bracco ว่าตามจริงบทไม่เยอะ เพราะส่วนใหญ่เราจะได้เห็นมาม่าตอนยังสาวที่แสดงโดย Nathalie Babis มากกว่า แต่ก็เธอว่าแสดงได้ดีตามที่บทจะเปิดโอกาสครับ และที่ผมออกจะชอบอีก 2 รายก็คือ Keisha Haines ในบทคริสทีนเพื่อนสนิทของเอมี่ และ Matty Finochio ที่ผมเคยรำคาญความเก๊กของพี่แกใน A Cinderella Story: Starstruck แต่พอมาเรื่องนี้เขาพลิกมาเป็นเพื่อนซี้ของแฟรงค์ที่เต็มไปด้วยความจริงใจได้อย่างเข้าท่าครับ (จริงๆ ผมว่าผมถูกชะตาแกมาตั้งแต่ The Wedding Veil Legacy แล้วล่ะ) โดยส่วนตัวผมว่าแกเหมาะครับกับบทเพื่อนดีๆ แบบนี้

ครับ โครงสร้างดี ดาราดี ซึ่ง 2 อย่างนี้มีผลทำให้หนังดูโอเค ในขณะที่การเล่าเรื่องนั้นอาจจะยังเรื่อยๆ อยู่ครับ เหมือนผู้กำกับ Allan Harmon เล่าหนังไปตามบท ให้นักแสดงดำเนินไปตามเรื่อง แต่ยังสามารถจับเอาจุดเด่นจุดแข็งที่หนังมีมาขยี้ให้เกิดพลังมากขึ้นได้ รวมถึงการปรุงรสที่ยังสามารถเพิ่มความประทับใจและความกินใจเข้าไปได้อีก ก็แอบเสียดายเล็กๆ ครับ เพราะหนังมีจุดเข้าท่าอยู่เยอะ ถ้าปรุงดีๆ นี่หนังจะขึ้นแท่นตรึงใจคนดูได้ไม่แพ้หนังรอมคอมดีๆ ช่วงยุค 90 เลยล่ะ

ถ้าจะมีจุดอ่อนของหนังอยู่บ้าง อย่างแรกก็คงเป็นงานฉากครับ เราจะเห็นในหลายฉากเลยว่าฉากหลังนั้นเป็นการแมตช์ภาพหรือไม่ก็ทำ CG ขึ้นมา มันเลยดูหลอกๆ ไม่ได้อารมณ์สักเท่าไร กับอีกอย่างคือตอนจบที่สรุปเรื่องราว หนังค่อนข้างแลนดิ้งเร็วไปครับ ความประทับใจต่างๆ ยังไม่ได้รับการขยี้เท่าที่ควรเลย หนังก็มาจบลงซะแล้ว ซึ่งก็พอเข้าใจน่ะครับว่าหนังคงต้องให้จบภายใน 1 ชั่วโมง 25 นาที ก็ได้แต่เสียดายอีกเหมือนกันครับ ถ้าหนังต่อไปอีกสัก 5 – 10 นาที แล้วเล่าเรื่องให้กินใจมากขึ้นนี่ หนังจะกลมกล่อมขึ้นอีกเยอะ

แต่กระนั้นผมก็อยากให้ท่านลองดูกันนะครับ อย่างน้อยในส่วนของแง่คิดดีๆ ที่ได้จากชีวิตของมาม่านั้นก็ถือเป็นสาระที่น่าเก็บเอาไปคิด ไม่ว่าจะเรื่องชีวิตคู่ การเข้าอกเข้าใจกัน หรือการรู้จักประนีประนอม โดยเฉพาะยามที่ความคิด 2 ขั้วกำลังปะทะกัน หากเราสามารถใจเย็นกับมันได้ และให้โอกาสกับความคิดต่างขั้วให้เราได้ลองตกผลึก ในที่สุดเราก็อาจจะได้หนึ่งความคิดดีๆ ที่เกิดจากการผสมผสานจุดแข็งของ 2 ขั้วนั้นมาก็ได้ (ดีไม่ดีอาจจะได้มากกว่าหนึ่งด้วยครับ)

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)