Comedy

Love in the Villa (2022) รักในวิลล่า

Untitled06027

สำหรับเรื่อง Love in the Villa ความรู้สึกที่ผมมีต่อหนังแบ่งออกเป็น 2 ช่วงตามหนังที่ถือว่าแบ่งออกได้เป็น 2 ห้วงครับ

ว่ากันที่เนื้อเรื่องก่อน จูลี่ (Kat Graham) คุณครูสาวที่เพิ่งประสบเหตุชำรุดทางหัวใจตัดสินใจไปพักผ่อนที่เวโรนาเพื่อตามรอยโรแมนติกของตำนานโรมิโอกับจูเลียต แต่กลายเป็นว่าที่พักที่เธอจองนั้น ดันมีชายชื่อชาร์ลี เฟลทเชอร์ (Tom Hopper) โผล่ไปพักด้วย ครั้นจะไปหาที่พักอื่นก็ไม่ทันแล้ว เธอเลยจำต้องอยู่ร่วมชายคากับชาร์ลี – เล่าแค่นี้ก็คงพอน่ะนะครับ เพราะชื่อหนังก็บอกอยู่แล้วว่าพวกเขาต้อง Love กันใน Villa นี้แน่นอน

หนังเรื่องนี้ยาวเกือบ 2 ชั่วโมงครับ ซึ่งออกจะแหกขนบของหนังแนวนี้อยู่ (ที่มักจะยาวแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง) ครั้นพอได้ดูก็รู้และเข้าใจว่าเพราะอะไรมันจึงเป็นเช่นนั้น

ครึ่งแรกหนังอุทิศเวลาให้กับการกัดกันระหว่างจูลี่กับชาร์ลีครับ คือถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นพวกเขาอาจจะแค่เหม็นหน้ากัน แต่กับเรื่องนี้นี่หนังให้ทั้งคู่เปิดหน้าหาเรื่องแกล้งกันเลยครับ ประมาณว่าพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อขับไล่อีกฝ่ายให้ออกไปให้ได้ ช่วงครึ่งแรกเราเลยจะได้เห็นคนแกล้งกัน ซึ่งผมว่ามันคงตั้งใจทำออกมาให้ฮาน่ะนะครับ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันทำให้เรื่องยืดเยื้อยังไงก็ไม่รู้ และการเห็นคนแกล้งกันในระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน (อย่างที่บอกว่าประมาณครึ่งเรื่องน่ะครับ) มันเลยออกแนวน่ารำคาญนิด – และโดยเฉพาะว่าคน 2 คนนี้ที่ตามบทกำหนดมาให้รักกัน แทนที่จะใช้เวลาเชื่อมใจเข้าหากัน ดันกลายเป็นตีกันซะได้ – รู้สึกผิดที่ผิดทางนิดๆ ครับ

แล้วก็เป็นไปตามที่คิดเลย คือไม่ว่าทั้งคู่จะตีกันแกล้งกันแค่ไหนก็ตาม แต่พอหนังถึงครึ่งเรื่องแล้ว หนังจะทำการสับสวิทซ์ให้ทั้ง 2 หันหน้าเข้าหากัน เริ่มมีความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน อันนี้พูดก็พูดครับว่ารู้สึกว่ามัน “ตามบท” มากๆ เพราะก่อนหน้านั้นทั้งคู่หาเรื่องกันจริงๆ จังๆ ไม่ได้มีวาระให้แอบรู้สึกดีๆ ต่อกันเลย แต่นี่บทจะชอบก็ชอบกันซะงั้น เหมือนสับสวิทซ์แชะก็จูนกันได้เฉย

ถัดจากนั้นก็เป็นวาระให้ทั้งคู่ได้เชื่อมใจเข้าหากันครับ ซึ่งจริงๆ ช่วงนี้โอเคนะ เพราะทั้งคู่จริงๆ ต่างก็เป็นคนดี มีความน่ารักและมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง โมเมนต์ช่วงที่ว่านี่ถือว่าพอเหมาะ ยิ่งได้บรรยากาศดีๆ ของเมืองเวโรนา ประเทศอิตาลีมาเสริมนี่ยิ่งได้ใจ – แต่ก็ต้องว่าตรงๆ ครับว่าช่วงที่ว่านี้มีน้อยไป – ก็หนังดันไปเสียเวลาให้คนตีกันตั้งครึ่งเรื่องนี่ครับ

Untitled06028

ช่วงที่พวกเขาจูนใจเข้าหากันนี่มีความน่ารักในหลายวาระนะ อันหนึ่งที่ผมชอบคือมุมมองคำว่า “โรแมนติก” ของทั้งคู่ที่มีการมองต่างมุม อย่างจูลี่มองว่าการที่ใครสักคนถูกกำหนดมาให้รักกับใครสักคนตั้งแต่เริ่มต้น ตามที่พรหมได้ลิขิตเอาไว้นั้น มันคือความโรแมนติกและเปี่ยมมนต์ขลัง ซึ่งมันก็จริงน่ะนะครับ การที่เธอถูกสร้างมาเพื่อฉัน ฉันถูกสร้างมาเพื่อเธอ มันดูหวานและโรแมนติกมาก

แต่แล้วเฟลทเชอร์ก็เสนอความเห็นต่าง เขามองว่าการที่ทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้วว่ามันจะต้องเป็น “แบบนั้น” มันจะโรแมนติกยังไง แต่การที่ไม่มีอะไรมากะเกณฑ์ควบคุม การที่จู่ๆ ใครสักคนจากหลายพันล้าน ได้มาเจอกับใครอีกคนจากหลายพันล้าน มันคือโอกาสหนึ่งในพันล้านที่พวกเขาทั้งคู่จะได้มาเจอกัน คบกัน และผูกใจสมัครรักใคร่ต่อกัน มันเกิดขึ้นจาก 0 แล้วเพิ่มพูนความรู้สึกต่อกันเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน นั่นต่างหากคือโรแมนติก (ในขณะที่พรหมลิขิต มันคือการที่พวกเขาถูกกำหนดให้คู่กันอยู่แล้ว ไม่แคล้วกันไปได้ มันคือ 100% ตั้งแต่ต้น)

โดยส่วนตัวผมมองว่ามันโรแมนติกทั้งสองมุมครับ เรามองได้ทั้งสองแนวทางแล้วแต่ใจเราจะเทคะแนนให้อันไหน – แต่ที่แน่ๆ คือวาระที่ทั้งคู่สนทนาแลกเปลี่ยนกันเรื่องนี้ ท่ามกลางบรรยากาศสวยๆ ของอิตาลี มันเป็นอะไรที่งดงามมากๆ จนใจบอกออกมาว่า “อยากได้อะไรแบบนี้เยอะๆ – ไม่ใช่ตีกันเยอะๆ”

แต่ก็นั่นล่ะครับ หนังเขาทำออกมาแล้ว ก็ต้องยอมรับไปตามนั้น และการที่ครึ่งหลังมันมีโมเมนต์หวานๆ ได้ไม่เยอะ ก็เพราะมันต้องแบ่งเวลาให้กับการที่จูลี่และชาร์ลีจะต้องมีปัญหา จะต้องมีอะไรมาแทรก (เช่น แฟนเก่าโผล่มาพอดี) หรือไม่ก็ต้องมีเหตุให้เขาและเธอเข้าใจผิดกัน แล้วก็ต้องให้เวลากับการที่ทั้งสองรู้สึกตรอมใจ ก่อนที่ตอนท้ายจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฮึดแล้วก็ตามไปสารภาพรักให้อีกฝ่ายได้รู้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะรับรักหรือไม่ก็เถอะ เนี่ยครับ ครึ่งหลังมันคิวแน่นเอี้ยดแบบนี้ วาระหวานๆ เลยมีได้ไม่เยอะ

แอบคิดในใจ ถ้าหนังลดทอนการตีกันแล้วเอามาใช้ไปกับการที่ทั้งสองได้จูนใจเข้าหากัน ได้เข้าใจกันและกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่โคตรจะสวยงามและโรแมนติกแบบคลาสสิกของเวโรนา รสชาติหนังจะหวานอีกแค่ไหนหนอ

เอาเป็นว่าความผิดและความชอบที่หนังมี ยกให้นาย Mark Steven Johnson เลยครับ เพราะเขาทั้งเขียนบทและกำกับ จริงๆ พี่คนนี้เขาอยู่เบื้องหลังหนังที่ผมชอบอย่าง Grumpy Old Men (ทั้ง 2 ภาค – พี่เขาเขียนบทครับ) และ Simon Birch (เรื่องนี้เขาทั้งเขียนบทและกำกับครับ) ในขณะที่หนัง Daredevil และ Ghost Rider อาจไม่เข้าเป้าเท่าไร แล้วก่อนเรื่องนี้เขาก็ทำ Love Guaranteed ให้ Netflix ด้วย ซึ่งสำหรับเรื่องนี้โดยรวมๆ ผมว่าหนังก็ดูได้เรื่อยๆ น่ะครับ เพียงแต่มันยังไม่สุด มันยังเวิร์กกว่านี้ได้ ก็แอบเสียดายอยู่ครับ

เอาเป็นว่าคอหนังโรแมนติกก็ดูได้เพลินๆ เพียงแต่ความอร่อยอาจยังไม่สุดครับ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)