
Notre Dame on Fire หนังภัยพิบัติที่จับเอาเหตุการณ์ไฟไหม้มหาวิหารนอเทรอดามเมื่อปี 2019 มาบอกเล่าครับ กำกับโดย Jean-Jacques Annaud คนทำหนังชาวฝรั่งเศสที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานานหลายสิบปี ผลงานมีชื่อก็อาทิ The Name of the Rose, The Bear (หมีเพื่อนเดอะ), The Lover, Seven Years in Tibet และ Enemy at the Gates
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบก่อนดูคือหนังไม่ได้มาในแนวภัยพิบัติสูตรสำเร็จแบบฮอลลีวู้ดครับ แต่จะออกเป็นหนังกึ่งสารคดีที่สรุปเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นมาเล่าให้เราทราบมากกว่า อันนี้ต้องบอกก่อนเพราะพอเห็นหน้าหนังแล้วหลายคนอาจคิดว่าหนังมันต้องมาพร้อมความลุ้นระทึก มีฉากตัวละครเสี่ยงตายแล้วหาทางรอดแบบเว่อร์ๆ หรือมีฉากดราม่าๆ ว่าด้วยการเสียสละ บอกเลยว่ามันไม่ใช่แบบนั้นครับ
หนังเล่าลำดับเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ไปจนถึงจบเหตุการณ์ หลักๆ คือเล่าวีรกรรมและความพยายามของเหล่านักผจญเพลิงที่พยายามดับไฟกันอย่างเต็มที่ แล้วระหว่างทางก็มีฟุตเตจจริงของเหตุการณฺ์วันนั้นแทรกลงมาเป็นพักๆ อารมณ์หนังมันเลยกึ่งๆ สารคดีน่ะครับ ไม่ได้มีตัวเอกแบบชัดเจน ไม่ได้มีตัวละครมาดราม่าผ่านหน้าจอ และตัวละครส่วนใหญ่ในเรื่องก็จะเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ได้ฮีโร่จ๋าอะไรขนาดนั้น
หรือใครคาดหวังว่าหนังจะนำเสนอการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบอันนำมาสู่ความลุ้น อันนี้ก็ต้องเผื่อใจไว้อีกเช่นกันครับ เพราะหนังมันเน้นความสมจริงมากกว่าจะเน้นความหวือหวา และบางช่วงบางตอนนี่หลายคนที่คาดหวังอะไรแบบนั้นอาจถึงขั้นผิดหวังได้ เพราะในบางสถานการณ์นั้นตัวละครในเรื่องถอดใจจากการแก้ปัญหาแบบง่ายๆ เลยก็มี (แต่ถ้ามองในแง่ที่ว่าสะท้อนความเป็นมนุษย์ปุถุชน หรือวิพากษ์การทำงานก็มองได้ครับ)

ยอมรับว่าตอนแรกผมก็คิดว่าหนังจะเป็นแบบฮอลลีวู้ดเหมือนกันครับ คิดว่าจะมันส์จะลุ้น แต่พอดูไปสักพักก็จับทางได้ เลยไม่ผิดหวังอะไร คิดเสียว่าดูสรุปเหตุการณ์ไฟไหม้ในวันนั้น ก็ถือว่าหนังทำหน้าที่ได้ไม่เลวครับ เล่าให้เราเห็นภาพเหตุการณ์ในหลายแง่หลากมุม บางมุมก็วิพากษ์ปัญหาหรือจุดอ่อนบางอย่างในการทำงานของผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ เพียงแต่มันไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมาก ไม่ได้ชูรสอะไรเยอะ ดังนั้นหนังจึงอาจดูจืดสำหรับบางท่านก็เป็นได้
ส่วนผมนั้นก็ดูในแง่รับรู้เรื่องราวครับ งานสร้างและฉากไฟไหม้ต่างๆ ถือว่าทำได้น่ากลัวพอตัวทีเดียว และหนังก็ทำให้ตระหนักเหมือนกันว่าหากทำได้เราควรไม่ประมาทครับ เวลามีสัญญาณเตือนอะไรก็ควรตรวจเช็คให้ละเอียด โดยเฉพาะสัญญาณเตือนที่มักเป็นสัญญาณหลอกนี่ ผมว่ามันเป็นเครื่องบ่งบอกนะ ว่าแสดงว่าเครื่องส่งสัญญาณนั้นควรอัพเกรดหรือไม่ก็ปรังปรุงแก้ไขเพื่อให้ทำงานได้เที่ยงตรงมากขึ้น
และใครที่ได้รับหน้าที่ตรวจเช็คตรวจสอบนี่ต้องตระหนักเลยเช่นกันว่าหน้าที่เราสำคัญมากๆ นะครับ คือตรวจเช็คไป 100 วันแล้วไม่เกิดเหตุ ก็อย่าประมาทว่าวันที่ 101 มันจะไม่เกิดเหตุ เหตุร้ายเกิดได้ทุกเมื่อถ้าสถานการณ์มันเหมาะเจาะล่ะก็ และเราไม่มีวันรู้ว่าหวยจะออกวันไหน ดังนั้นตรวจสอบทุกครั้งให้ดีเสมอ ดีกว่ามานั่ง “รู้งี้” หลังเกิดเรื่องร้าย
สำหรับผมแล้ว หนังอาจไม่ได้สนุกนะครับ แต่ผมก็ได้รับสารดีๆ ให้เราตระหนักและตื่นตัว ตั้งตนให้อยู่ในความไม่ประมาท
วิธีหนึ่งในการป้องกันไฟแห่งภัยและปัญหา คือการรักษาไฟแห่งการตระหนักรู้และสติให้ลุกโชนอยู่เสมอ – วิธีนี้ใช้ได้ครอบจักรวาลกับสารพัดเรื่องในชีวิตครับ
โดยรวมแล้วก็ถือว่าหนังดูได้เรื่อยๆ ครับ เพียงแต่อาจยังไม่สุดแบบเต็มที่ ไม่ว่าจะในแง่ความบันเทิง (ความระทึกตื่นเต้น) หรือในแง่ของการสะท้อนเหตุการณ์ที่หนังอาจจะสะท้อนและวิพากษ์บางแง่บางมุมออกมา รวมถึงกระตุ้นเตือนสติของเรา แต่ก็เป็นเพียงระดับหนึ่ง ยังไม่ถึงกับลึกอะไร
สองดาวกว่าครับ

(6.5/10)
หมวดหมู่:Biography, Disaster Movies, Drama, Movie Reviews, Thriller










