
Big Sky River ถือเป็นหนังโรแมนติกสไตล์ Hallmark ที่ทำออกมาแบบไม่หวือหวา รสชาติไม่จัดจ้าน ความเด่นในการนำเสนออาจยังไม่มาก แต่พอดูจนจบผมรู้สึกโอเคไม่น้อยครับ เพราะหนังถือว่ามีความน่าสนใจในแง่ของเนื้อหาและมิติของตัวละคร
หนังพาเราไปรู้จักกับทาร่า เคนดอลล์ (Emmanuelle Vaugier) ที่เพิ่งหย่ากับสามี แล้วเธอก็เดินทางไปพักใจที่เมืองพาราเบิล ในมอนแทนา อันเป็นสถานที่ที่เธอเคยมีความทรงจำดีๆ เมื่อวัยเยาว์ และที่นั่นเธอก็ได้พบกับ บูน เทย์เลอร์ (Kavan Smith) หนุ่มผู้รักษากฎหมายที่บ้านอยู่ใกล้กับเธอพอดี เล่าถึงตรงนี้หลายคนก็คงเดาได้น่ะนะครับ ว่าในที่สุดแล้วพวกเขาก็จะค่อยๆ เชื่อมใจเข้าหากัน
สิ่งแรกที่ผมประทับใจขอยกให้วิวสวยๆ ของเมืองพาราเบิลครับ ตามท้องเรื่องแล้วเมืองนี้อยู่ในมอนแทนา แต่โลเคชั่นที่ไปถ่ายกันจริงๆ คือที่บริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดาครับ บอกเลยว่าสวยงามสุดๆ ดูเป็นชนบทที่เขียวขจีเต็มไปด้วยความสดชื่น มีทุ่งหญ้าสวยๆ ที่ตัดด้วยสีเหลืองของดอกไม้ หรือลำธารลำน้ำต่างๆ ที่พระนางไปพักผ่อนกัน ดูแล้วเหมือนได้ไปเที่ยวเลยครับ ได้หย่อนใจคลายอารมณ์ด้วยบรรยากาศธรรมชาติสวยๆ อารมณ์เหมือนได้ทำสปาให้กับดวงตาเลยล่ะ
ก็ต้องขอชมคือ Shawn Seifert ผู้กำกับภาพที่ผลงานของเขาเพิ่งผ่านตาผมไปเมื่อไม่นานมานี้ (เรื่อง Always Amore ที่ Netflix เอามาฉายน่ะครับ) เรื่องนี้เขาก็จับภาพมาได้เหมาะครับ ทำให้โทนหนังมีความอบอุ่นตามสไตล์หนังโรแมนติก แล้วก็ผสมด้วยภาพวิวทิวทัศน์ดีๆ เอามาเสิร์ฟคนดูตลอดเรื่อง (แค่บ้านที่นางเอกไปพักก็สวยมากแล้วล่ะครับ)
ในแง่การเดินเรื่องนั้นก็อย่างที่บอกครับว่าลีลาของหนังอาจจะธรรมดาอยู่บ้าง ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ได้แย่นะครับ แค่ว่ามันยังไม่เด่นเท่าที่ควร – นี่คือเทียบกับหนังโรแมนติกสมัยยุค 90 นะ – แต่หากเทียบกับหนังรักยุคหลังๆ ของ Hallmark แล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าน่าพอใจอยู่ครับ ซึ่งคนที่กำกับก็คือ Peter Benson ที่คอหนัง Hallmark อาจคุ้นหน้าพี่เขาจากบทนายตำรวจอาร์เธอร์ สมิธในหนังชุด Aurora Teagarden Mysteries และเรื่องนี้เขาก็โผล่มารับเชิญด้วยครับ เป็นเจมส์ สามีเก่าของทาร่านั่นแหละ
ตัวหนังถือว่าเรื่อยๆ ดูแล้วได้อารมณ์ Feel Good อยู่บ้าง และผมก็สัมผัสได้ถึงความดีที่หนังมี คือมันมีดีตรงบทครับ หนังสร้างจากนิยายเล่มที่ 3 ในชุด Parable, Montana ของ Linda Lael Miller แล้วก็ได้ J.B. White มาดัดแปลงจากหนังสือสู่บทหนังอีกที

จุดที่ผมชอบคือตัวละครในเรื่องมีมิติและมีปูมหลัง ทั้งทาร่าและบูนต่างก็เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ทำให้ความรักของพวกเขาไม่ได้เป็นรักหวานแหววปิ๊งปั๊งแบบหนุ่มสาว แต่เป็นความรักแบบที่ต้องการใครสักคนมาเติมเต็มชีวิต การสานสายใยของพวกเขาเลยดูมีกลิ่นอายแบบผู้ใหญ่ที่การตัดสินใจเลือกใครสักคนมาเคียงคู่นั้น จะไม่ใช่แค่ใช้อารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่จะมีเรื่องของเหตุผล เรื่องความเข้าใจ กว่าจะเปิดใจให้กันก็ต้องใช้เวลาแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป รวมถึงพวกเขายังต้องคำนึงถึงลูกๆ ด้วย
ลูกๆ ของพวกเขาก็มีประเด็นครับ ไม่ว่าจะกริฟฟิน (John JJ Miller) กับเฟลทเชอร์ (Sawyer Fraser) ลูกของบูนที่ยังคิดถึงแม่ของพวกเขาอยู่ และไม่อยากให้ใครมาแทนที่แม่ ส่วนเอริน (Cassidy Nugent) รายนี้มีความซับซ้อนสักหน่อย คือเธอเป็นลูกสาวของเจมส์ สามีเก่าของทาร่าน่ะครับ ทาร่าไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเธอ แต่ด้วยความรักที่ทาร่ามีให้ทำให้เอรินรักและเคารพทาร่ามากๆ ชนิดที่ออกจะมากกว่ารักพ่อแท้ๆ เสียอีก
ประเด็นสำคัญอันหนึ่งคือหนังกระตุ้นเตือนให้คนเป็นพ่อแม่หันมาใส่ใจความรู้สึกของลูกครับ โดยเฉพาะในครอบครัวที่เคยผ่านความสูญเสียบางอย่างมาก่อน ซึ่งมักจะส่งผลให้เด็กๆ มีความเปราะบางบางอย่างทางความรู้สึก จนบางครั้งก็อาจจะแสดงอารมณ์ออกมาในเชิงลบ ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองก็ต้องคอยประคับประคองหัวใจดวงน้อยๆ ให้ดี คอยดูแลพวกเขาด้วยความเข้าใจ เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เผยความคิดความรู้สึก แล้วก็ช่วยพวกเขาให้เข้าใจในความสับสนและพลุ่งพล่านในใจตน
อย่าว่าแต่เด็กเลยครับ ผู้ใหญ่ที่ผ่านอะไรมาพอสมควรแล้วบางครั้งก็ยังต้องใช้เวลาในการตั้งหลักเหมือนกัน ซึ่งผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็ต้องเอาประสบการณ์ทั้งร้ายและดีที่ผ่านมาเป็นเครื่องช่วยอัพเกรดตัวเองให้เข้าใจอะไรๆ ให้มากขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้ตนเองแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนทั้งหลายในโลกใบนี้
ผมชอบที่แต่ละฉากในหนังมันมีอะไรสื่อสารกับคนดูอยู่เรื่อยๆ ครับ ซึ่งจะต่างจากหนังส่วนใหญ่ที่เน้นนำเสนอด้านสวีทเป็นหลัก อย่างตอนที่มีงานเต้นรำแล้วบูนอยากจะขอทาร่าเต้นรำ แล้วพอเต้นกันไปสักพักทาร่าก็ขอพักก่อน ส่งผลให้บูนต้องแอบไปพักใจนิดๆ ที่เคาน์เตอร์บาร์ แล้วก็แอบมองเธออยู่เป็นพักๆ ฉากนี้แอบน่ารักและแอบสื่อตัวตนของคนทั้งคู่ได้อย่างน่าสนใจครับ (ผมชอบฉากนี้พอสมควรเลยครับ)
นอกจากนี้บทของตัวละครสมทบที่แม้จะไม่ถึงขั้นขโมยซีนแต่ก็ช่วยทำให้เข้าใจบางประเด็นในเรื่องได้เพิ่มขึ้น อย่างเคนดร้า (April Telek) เพื่อนใหม่ที่คอยคุยกับทาร่าอยู่เรื่อยๆ จนทำให้เราได้รู้ความคิดความรู้สึกที่เธอมีทั้งต่อเมืองนี้ และต่อความรักทั้งในอดีตและปัจจุบัน
หรืออย่างการที่เอรินไปดูหนังกับดอว์สัน (Orlando Lucas) ดูเผินๆ เหมือนวัยรุ่นไปเที่ยวกันธรรมดา แต่หากดูดีๆ จะพบว่าเอรินได้แสดงถึงอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นเธอ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นเชื่อใจที่เธอมีต่อทาร่า
โดยรวมถือเป็นหนังที่น่าพอใจครับ ดูแบบสบายๆ ผ่อนคลายด้วยวิวสวยๆ แล้วก็อารมณ์ขันง่ายๆ พร้อมทั้งเรื่องราวแบบ Feel Good อีกทั้งตัวละครยังมาพร้อมสาระให้เราเก็บไปคิด มันอาจไม่ลึกซึ้งนะครับ แต่ก็ไม่เลวเหมือนกันที่เราจะเอาประเด็นต่างๆ มาทบทวนเพื่ออัพเกรดตนเอง – เพราะบางครั้งเราก็หลงลืมความจริงบางประเด็นของชีวิตไป จนส่งผลให้เราซวนเซเมื่อโดน “โลกกระทำ”
สองดาวกว่าๆ บวกๆ ครับ

(6.5/10)
หมวดหมู่:Drama, Movie Reviews, Romance, Romance Romance










