รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Avalon High (2010)

Untitled09112

อัลลี่ เพนนิงตัน (Britt Robertson) เป็นเด็กใหม่ของอวาลอน ไฮครับ ที่นี่เธอได้พบกับหนุ่มหล่อคนดังของโรงเรียนอย่างวิลล์ (Gregg Sulkin) ได้รู้จักกับไมลส์ (Joey Pollari) เด็กเนิร์ดที่มักจะโดนแกล้งอยู่เสมอ แล้วก็มาร์โก (Devon Graye) น้องตัวร้ายของวิลล์

แล้วอัลลี่เองก็เริ่มเจออะไรแปลกๆ เช่น ความฝันไปพาเธอย้อนไปสมัยกษัตริย์อาร์เธอร์ หรือไมลส์เองก็มักจะมีนิมิตเห็นภาพอนาคตอยู่บ่อยๆ แล้วไหนเธอยังต้องทำรายงานเกี่ยวกับตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์อีก จนในที่สุดเธอก็ค้นพบว่าตำนานของอาร์เธอร์นั้นกำลังจะกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งในอวาลอนไฮ

Avalon High หนังวัยรุ่นแฟนตาซีดูง่ายสไตล์หนังทีวีของ Disney ครับ ดัดแปลงจากหนังสือของ Meg Cabot (ผู้เขียน The Princess Diaries) ว่าตามจริงคือหนังดูได้เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้เด่นเป็นพิเศษอะไร ตอนแรกผมก็คิดครับว่าหนังจะมีพื้นที่เกี่ยวโยงกับกษัตริย์อาร์เธอร์มากๆ สักหน่อย ประเภทว่าผูกตำนานแล้วเดินเรื่องผสมแฟนตาซีมีอะไรให้ตื่นตา แต่ไปๆ มาๆ หนังจะเน้นไปที่เรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร ว่าง่ายๆ คือดูเป็นหนังชีวิตวัยรุ่นที่มีเรื่องตำนานอาร์เธอร์ผสมลงไปหน่อยๆ น่ะครับ เน้นชีวิตมากกว่าจะเน้นแฟนตาซี

แต่ยังดีที่ดาราโอเค Robertson ถือเป็นตัวเด่นของเรื่อง อีกคนที่เข้าตามากหน่อยก็ Steve Valentine ในบทคุณครูมัวร์ที่คลั่งไคล้ในตำนานอาร์เธอร์ รายนี้ถือเป็นสีสันที่ไม่เลว ในขณะที่รายอื่นๆ ก็จัดว่าโอเคเท่าที่บทจะอำนวยครับ อ้อ แล้วยังได้เจอ Molly C. Quinn ร่วมจอด้วย ใครเป็นแฟนซีรี่ส์ Castle น่าจะจำเธอได้ครับ เพียงแต่บทในเรื่องอาจไม่มากนักเท่านั้น

Untitled09113

หนังกำกับโดย Stuart Gillard ที่ส่วนใหญ่จะเน้นทำหนังทีวี แต่ก็เคยกำกับหนังใหญ่อยู่ครับ อย่างเรื่อง Teenage Mutant Ninja Turtles III แล้วก็ Paradise (หนังที่ตามกระแส The Blue Lagoon ออกมา) สำหรับเรื่องนี้ก็อย่างที่บอกครับ ดูได้แต่ก็ไม่เด่นหรือน่าติดตามแบบเต็มๆ ช่วงต้นกับช่วงกลางค่อนข้างเรื่อย แต่ที่ช่วยให้หนังชวนดูก็คือการแสดงที่กระตือรือร้นของ Robertson ส่วนช่วงท้ายก็ถือว่ามันส์หน่อย ไคลแม็กซ์ถือว่าทำได้เข้าท่า และบทสรุปก็ชวนให้อยากดูภาคต่อ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีทำออกมาครับ

ถ้าจะมีอะไรที่ชอบก็คงเป็นฉากครับ หลายฉากเลือกได้ดี อย่างตอนที่แอลลี่วิ่งไปเจอวิลล์ ที่นั่งอยู่กลางดงต้นไม้ที่กิ่งก้านคดเคี้ยวนั่น ดูน่าสนใจดี สวยแบบแปลกๆ แล้วเนื้อเรื่องก็มีจุดหักเหที่น่าพอใจอยู่ นี่ถ้าตอนต้นกับตอนกลางมีการเล่าเรื่องวางปมที่น่าติดตามกว่านี้หนังก็น่าจะเข้าท่าทีเดียว

โดยรวมก็ถือว่าพอได้ครับ ขอเพียงไม่คาดหวังก็น่าจะโอเคกับหนังอยู่ ความยาวก็ไม่มาก แค่ชั่วโมงครึ่ง ส่วนผมเองที่ดูนั้นก็ด้วย 2 เหตุผลใหญ่ๆ ครับ อย่างแรกเลยคือชอบ Robertson และอย่างที่ 2 ก็คืออยากหาหนังเบาๆ ให้ลูกดู ซึ่งลูกผมดูแล้วก็ว่าเพลินๆ ดี

สองดาวครับ

Star21

(6/10)