รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Crime Scene: The Vanishing at the Cecil Hotel (2021) การหายตัวไปที่โรงแรมเซซิล

Untitled06319

ผมนี่รอชมเลยครับสำหรับสารคดีชุดนี้ที่ว่าด้วยปริศนาการหายตัวไปของ Elisa Lam ที่โรงแรมเซซิล โรงแรมที่มีเรื่องราวน่ากลัวเกิดขึ้นมากมายตลอดหลายปีที่มันเปิดทำการ

จากที่ลองอ่านกระแสตอบรับของสารคดีนี้ก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบครับ ที่ไม่ชอบก็จะมองว่าสารคดียืดยาวเกินไป (ความยาวของสารคดีคือ 4 ตอนครับ) หรือบางคนก็จะไม่ชอบบทสรุป กล่าวคือบทสรุปของคดีที่สารคดีนำเสนอนั้นอาจจะไม่ตรงใจ ไม่ตรงกับสิ่งที่หลายๆ คนคิดไว้ หรือบางคนก็มองว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น ก็เลยรู้สึกไม่โอกับสารคดีไป

ส่วนผมนั้นก็อยู่ในข่ายชอบครับ เริ่มจากโทนและบรรยากาศในการนำเสนอมันดูลึกลับดี หลายช่วงนี่สร้างอารมณ์หลอนอย่างได้ผล พวกมุมกล้องต่างๆ ก็ชวนให้ผวาไม่น้อย พวกซาวด์ประกอบก็ทำให้ขนลุกเป็นพักๆ และดนตรีก็ถูกใส่ลงมาแบบพอเหมาะ ไม่ตุ้งแช่เกินไป เรียกว่าค่อยๆ สร้างอารมณ์น่ากลัวให้ก่อตัวทีละนิด ดูไปๆ ก็ทำให้เราจมไปกับเรื่องราวทีละน้อย (บางจังหวะเนี่ยได้อารมณ์เหมือนไปอยู่ในโรงแรมเลยครับ มันหลอนจริงๆ)

ส่วนความยาว 4 ตอนนั้น ถ้าว่ากันถึงประเด็นที่ทีมงานต้องการนำเสนอในแต่ละตอนแล้ว ก็ถือว่าเหมาะที่แบ่งออกเป็น 4 Part ครับ คือถ้าหากดูแล้วจะตระหนักครับว่าทีมงานเขียนบทแบ่งการเล่าเนื้อหาแต่ละตอนไว้อย่างไร และตอนจบของแต่ละตอนก็จะเหมือนเป็นการทิ้งเชื้อให้เราติดตามตอนต่อไป เหมือนเราดูซีรี่ส์อะไรแบบนั้นแหละครับ

เพียงแต่จุดอ่อนก็มีบ้างตรงที่แต่ละตอนยังกระชับได้อีก ยาวประมาณตอนละ 50 กว่านาทีน่ะครับ จริงๆ ตัดเล็มให้เหลือตอนละ 45 นาทีก็น่าจะดีกว่า บางส่วนจริงๆ ก็สามารถตัดออกได้โดยไม่กระทบกับสาระ เพราะบางฉากบางช่วงก็เป็นการเสนอ “สาสน์เดียวกัน” แบบซ้ำๆ น่ะครับ ถ้าทอนส่วนเหล่านี้ออกไปก็น่าจะกระชับขึ้น

Untitled06321

จุดที่ผมชอบอย่างหนึ่งในสารคดีนี้คือมันมีการนำเสนอพื้นที่โดยรอบของโรงแรมเซซิลให้เรารับรู้ด้วย เขาจะฉายให้เราเห็นครับว่าอันที่จริงแถบนั้นก็ไม่ใช่แดนสวรรค์หรือเมืองปลอดภัยอะไรหรอกนะ แต่มันใกล้กับแหล่งเสื่อมโทรม แถวนั้นก็เกิดอาชญากรรมอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะการฆ่ากัน ชิงทรัพย์กัน หรือค้ายาเสพติด ซึ่งมันทำให้ภาพของเราเกี่ยวกับโรงแรมนี้มีความชัดเจนมากขึ้นน่ะครับ เพราะไม่งั้นเราอาจจะมองแค่มุมเดียวว่าโรงแรมนี้มีอาถรรพ์เพราะเป็นแหล่งเกิดเรื่องร้ายๆ แล้วก็คิดไปว่าแถวนั้นไม่มีอันตราย แต่อันตรายนั้นจะมาเกิดกับแค่ที่โรงแรมนี้ที่เดียว แต่เอาเข้าจริงแถบแถวนั้นก็มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นตามท้องถนนไม่ต่างกัน กล่าวคือโรงแรมเซซิลก็อยู่ใกล้แหล่งเสื่อมโทรมและแหล่งอาชญากรรมน่ะครับ มันจึงไม่แปลกที่จะเกิดเรื่องขึ้นได้ แต่จะต่างกันแค่โรงแรมเซซิลเป็นสถานที่ที่มีชื่อเฉพาะ เวลาเกิดเหตุเขาก็จะระบุว่าเกิดที่เซซิล ในขณะที่เหตุเกิดตามท้องถนน ซึ่งดีไม่ดีอาจจะมีเหตุมากกว่าด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากมันเกิดตามท้องถนนทั่วๆ ไป ก็เลยไม่มีการระบุตำแหน่งแหล่งชื่อสถานที่ชัดเจนเท่าโรงแรมเซซิล (กล่าวคือหากเกิดเรื่องที่โรงแรมเซซิล มันจะดูกระจุก แต่ถ้าเกิดตามท้องถนนในเมืองก็จะดูเกิดแบบกระจายน่ะครับ “ความเข้มข้นของเหตุร้าย” มันเลยจะต่างกัน)

ครับ ผมชอบที่สารคดีมีการนำเสนอสภาพแวดล้อมของถิ่นที่โรงแรมนั้นตั้งอยู่ ทำให้เรามองเห็นสภาพสังคมได้ชัดขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มีจุดที่รู้สึกว่ายังไม่อิ่มเหมือนกัน นั่นคือเรื่องราวในตัวโรงแรมเซซิลเองที่กลับมีพูดถึงไม่มากพอ เพราะจริงๆ โรงแรมเซซิลมีเรื่องเกิดขึ้นหลายอย่างนะครับ ไม่ใช่แค่กรณี Elisa Lam อย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายเคส แต่สารคดีก็เล่าเรื่องอื่นๆ เพียงผิวๆ หรือผ่านๆ เท่านั้น (จนผมพอจะเข้าใจที่มีคนบอกว่าสารคดีนี้อาจช่วยปกปิดมุมมืดบางมุมของโรงแรมนี้) ซึ่งจุดนี้ก็แอบเสียดายครับ เพราะอุตส่าห์เล่าสภาพภายนอกไว้อย่างน่าสนใจแล้ว หากเล่าเรื่องที่เกิดในเซซิลเพิ่มอีกหน่อยก็น่าจะทำให้เรื่องราวเพิ่มความน่ากลัวมากขึ้น แต่หากจะมองในแง่ที่ว่าทีมงานไม่อยากให้คนดูโฟกัสผิดจุดจากคดี Elisa Lam ไปเป็นอย่างอื่น อันนี้ก็พอจะเข้าใจได้เหมือนกัน

Part แรกของสารคดีเล่าถึงต้นกำเนิดของโรงแรมเซซิลและพื้นที่โดยรอบครับ ส่วน Part 2 ก็เล่าให้เราฟังเกี่ยวกับรายละเอียดของคดี Elisa Lam ที่มีความลึกลับซ่อนเงื่อนโดยเฉพาะคลิปวีดีโอแสดงภาพพฤติกรรมแปลกๆ ของเธอ (ที่ดูกี่ทีก็ยังหลอนอยู่) พอถึง Part 3 ก็จะว่าด้วยความเป็นไปได้ของคดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็จะรวบรวมเอาเงื่อนงำและทฤษฎีต่างๆ ที่มีคนสังเกตเอามานำเสนอให้เห็นรูปคดีในหลายแนวทาง (ซึ่งบางทฤษฎีก็ดูน่าสนใจจริงๆ เพราะหลายอย่างมันจะบังเอิญอะไรได้ขนาดนั้น) ก่อนที่ทุกอย่างจะมาขมวดปมจบลงที่ Part 4 อันเป็นการปิดคดีปริศนานี้ลง

โดยรวมแล้วสารคดีนี้ก็ถือว่าเวิร์กในระดับหนึ่งครับ (จริงๆ คือมันมีทั้งที่เวิร์กและยังเวิร์กไม่สุดกลั้วๆ กันไป แต่ถ้าให้สรุปรวมๆ ก็ยังถือว่าอยู่ในข่ายเวิร์กครับ) ครับ อ้อ ลืมบอกไป สารคดีนี้มีพากย์ไทยด้วยนะครับ ตอนแรกผมก็นึกว่าไม่มี (แบบที่สารคดีใน Netflix ส่วนใหญ่จะไม่มีการพากย์) แต่ไปๆ มาๆ มีการพากย์ครับ ก็ทำให้ดูง่ายขึ้นเยอะเลย ดังนั้นใครชอบดูแบบพากย์ไทยก็น่าจะชอบกันนะครับ

Untitled06322

ถ้าถามว่าผมได้อะไรจากสารคดีนี้ ก็นอกจากจะได้เห็นภาพของคดีนี้ในหลากหลายแง่มุมแล้ว ก็ทำให้ตระหนักถึงความจริงที่ว่าการจะคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับอะไรก็ตามนั้น เราก็ต้องมองให้ครบถ้วนตามแง่มุมต่างๆ ครับ อย่างคดีนี้มันไม่ได้มีแค่ปริศนาและความลึกลับของโรงแรมเพียงอย่างเดียว มันยังมีเรื่องของสภาพแวดล้อมในถิ่นแถบนั้น รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับตัว Elisa เองที่ตามสื่อหรือใครหลายๆ คนเลือกที่จะนำเสนอแค่ส่วนที่ดูน่าสนใจ (ส่วนที่ดูลึกลับ เหนือธรรมชาติ หรือเกี่ยวกับผีๆ) แต่อันที่จริงก็ยังมีหลักฐานเชิงประจักษ์อื่นๆ เช่น ลักษณะสภาพจิตของเธอ, สิ่งที่เธอเคยโพสต์ไว้ หรือพฤติกรรมอื่นๆ ของเธอขณะอยู่ในโรงแรมเซซิล (เช่น ก่อนที่เธอจะแยกไปอยู่ห้องเดี่ยว เธอเคยพักอยู่ในห้องรวมกับคนอื่นมาก่อน) รวมถึงการตอบสนองที่ครอบครัวเธอมีต่อคดีนี้, ประวัติก่อนหน้านี้ของเธอ ฯลฯ อะไรเหล่านี้ล้วนมีความจำเป็นต่อการมองรูปคดีให้ชัดเจนและครบมุม

กล่าวคือการจะสืบค้นหรือทำความเข้าใจอะไรก็ตามเราต้องพร้อมที่จะเปิดรับข้อมูลจากรอบด้านครับ บางข้อมูลอาจค้านกับสิ่งที่เราคิด ไม่เข้ากับสิ่งที่เราเชื่อ แต่เราก็ต้องไม่ละเลยข้อมูลเหล่านั้น เราต้องเอามันมาประกอบเพื่อให้เราเห็นภาพชัด เปรียบเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ที่เราจะเลือกต่อเฉพาะตัวที่เราชอบอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องพยายามรวบรวมจิ๊กซอว์ให้ครบ บางตัวเราอาจจะยังมองมันไม่ออกหรือไม่ชอบมัน แต่มันก็จำเป็นต้องมีเพื่อความสมบูรณ์ของภาพจิ๊กซอว์ตรงหน้าเรา

คดีของ Elisa Lam นั้นนอกจากจะปลุกผู้คนให้ตื่นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่โรงแรมเซซิลแล้ว ยังทำให้หลายคนหักมาให้ความสนใจกับผู้ที่มีความเปราะบางทางจิตใจ ซึ่งตัว Elisa เองนั้นก็เป็นคนหนึ่งที่มีความเปราะบางครับ เธอเหมือนใครอีกหลายๆ คนที่ต้องการการยอมรับ ต้องการคนพูดคุย ต้องการที่ปรึกษา ซึ่งคดีของเธอนั้นก็ทำให้คนมากมายหันมาให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนที่มีความเปราะบางทางจิตใจมากขึ้น และหันมาศึกษาเรียนรู้เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงสภาพจิตอันหลากหลายของผู้คนที่ต่างก็ต้องโต้คลื่นใช้ชีวิตอยู่ในห้วงมหรรณพอันกว้างใหญ่ไพศาลด้วยกัน

และเมื่อคนอยู่ในโลกใบเดียวกันแล้ว จะอยู่ด้วยกันให้มันดีหรืออยู่ด้วยกันให้มันแย่ ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเรานั่นเอง

ในโลกความจริงนั้นเราอาจไม่สามารถไปช่วยเหลือทุกคนได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ยังพอจะมีสิ่งที่เราทำได้ครับ อย่างแรกเลยคืออย่าไปโพสต์แย่ๆ หรือว่าร้ายคนอื่นเลยครับ ไม่ว่าจะโพสต์ด้วยอารมณ์หรือโพสต์เอามันส์คะนองคีย์บอร์ด พูดง่ายๆ คือไม่ช่วยใครก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไปบูลลี่ใครหรือทำให้ใครเขาต้องมาทุกข์เพราะสิ่งที่เราพิมพ์เลย หากจะโพสต์อะไรก็เลือกที่จะคอมเมนต์อย่างสุภาพ คอมเมนต์แบบมนุษย์คุยกับมนุษย์ด้วยกัน ให้เกียรติกันและกัน ทำได้แบบนั้นก็ถือว่าดีมากแล้วครับ

ไม่ว่าจะ “คิดก่อนพูด” หรือ “คิดก่อนโพสต์” มันก็ล้วนควรทำเหมือนกันน่ะครับ

จริงๆ โลกโซเชียลก็สะท้อนโลกจริงที่เราเป็นน่ะครับ มันมีหลากแง่มุมให้ศึกษา หลายมิติให้พิจารณา ส่วนเรานั้นจะเลือกพิจารณามันให้รอบหรือจะเลือกจมอยู่กับมุมใดมุมหนึ่งก็ย่อมขึ้นอยู่กับเรา เราจะใช้โลก (ไม่ว่าจะโซเชียลหรือโลกจริง) ในการเปิดประตูสร้างมิติใหม่ให้ชีวิตก็ได้ หรือจะเลือกปิดประตูจองจำตัวเองไว้ที่มุมใดมุมหนึ่งก็ได้เช่นกัน โลกจะเป็นของมันไปอย่างนั้น และเราก็จะเป็นไปตามที่เราเลือกกระทำมัน

ก็ถือเป็นสารคดีที่ทำได้โอเคครับ อาจไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยมสำหรับแนวสารคดีสืบสวนแบบนี้ แต่ก็จัดว่าน่าพอใจซึ่งนี่เป็นงานกำกับของ Joe Berlinger ที่เคยทำ Book of Shadows: Blair Witch 2 มาก่อนนั่นเองครับ หลังจากงานครั้งนั้นเขาก็หันไปทำงานสารคดีเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งวิสัยทัศน์ของเขากับสารคดีชุดนี้ก็ถือว่าไม่เลวครับ เพียงแต่อย่างที่บอกนั่นแหละว่าอาจยังไม่ถึงกับเข้าเป้าแบบเต็มที่เท่านั้นเอง

หากใครชอบแนวนี้ก็ลองชมกันได้ครับ ชอบไม่ชอบค่อยว่ากันอีกที

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)

Untitled06320