เฮียเฉินหลงกลับมาอีกครั้งในหนังวิ่งสู้ฟัดโดยที่คราวนี้เป็นเรื่องราวใหม่ครับ กล่าวคือตัวเอกไม่ใช่เฉินกูกู๋อีกต่อไป (แต่ก็ยังแซ่เฉินอยู่) แต่ก็ยังว่าด้วยภารกิจเสี่ยงตายจับผู้ร้ายของนายตำรวจอยู่เหมือนเดิม
เรื่องเริ่มต้นเมื่อเกิดคดีปล้นธนาคารสะเทือนเกาะฮ่องกงขึ้น และผู้กองเฉินกั๊วะหยง (เฉินหลง) ก็ได้รับมอบหมายให้ตามจับผู้ร้ายมาลงโทษ เขากับพี่น้องผองตำรวจก็สืบหาร่องรอยและตามพวกมันไปถึงแหล่งกบดาน แต่ที่พวกเขาไม่รู้เลยก็คือโจรกลุ่มนี้ได้วางแผนล่อพวกเขามาติดกับดักมรณะ และเหตุการณ์ครั้งนั้นก็กลายเป็นฝันร้ายที่ผู้กองเฉินไม่สามารถสลัดออกไปจากความทรงจำได้
หนึ่งปีต่อมา ผู้กองเฉินที่จมอยู่กับความเศร้าก็ได้แต่เมาไปวันๆ งานการไม่เป็นอันทำ จนกระทั่งมีเจ้าหนุ่มนามว่าเจิ้งเสี่ยงฟง (Nicholas Tse) โผล่เข้ามาในชีวิตเขาและพยายามจะผลักดันให้ผู้กองเฉินกลับไปสืบคดีโจรปล้นธนาคารอีกครั้ง ว่าแต่หนนี้พวกเขาจะไขคดีได้สำเร็จไหม และพวกโจรกลุ่มนี้จะมีแผนร้ายอะไรรอรับมือเหล่าตำรวจอยู่อีก ก็ต้องติดตามกันในหนังครับ
ถือเป็นภาคที่ทำได้เข้มข้นและน่าติดตามมากอีกภาคหนึ่งครับ โดยส่วนตัวแล้วชอบภาคนี้รองจาก 2 ภาคแรกเลย อย่างแรกที่ชอบก็เพราะหนังเปิดเรื่องได้โหดพอสมควร โดยเฉพาะสิ่งที่ผู้กองเฉินต้องประสบในโกดังนั่น ถือว่าโหดร้ายและแรงจนไม่แปลกใจที่เขาจะไม่เป็นผู้เป็นคนหลังเจอเรื่องนั้นเข้าไป และยังเป็นการเปิดตัวแก๊งผู้ร้ายได้อย่างน่าจดจำ
ครึ่งแรกออกจะเน้นไปทางดราม่า ก็ถือว่าทำได้โอเคครับ ได้อารมณ์ดราม่าอยู่พอตัว ส่วนครึ่งหลังก็เป็นการสืบ ตามล่าผู้ร้าย และบู๊แอ็กชันเสี่ยงตายตามสไตล์เฮียเฉิน ซึ่งครึ่งหลังนี่ก็สนุกไม่น้อยเหมือนกัน เริ่มจากฉากบู๊ทั้งหลายถือว่าทำออกมาได้มันส์ หรือจะฉากถล่มข้าวของก็จัดว่าลงทุนเล่นใหญ่ไม่ผิดหวังสำหรับคอหนังเฮียเฉิน
สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกคือหนังมีความเป็นสูตรสำเร็จมากกว่าภาคอื่นๆ คือเปิดมาก็แนะนำฮีโร่ แนะนำผู้ร้าย เปิดปมแค้นระหว่างพวกเขา แล้วฮีโร่ก็ตกต่ำ จากนั้นก็จะมีอะไรสักอย่างมาทำให้ฮีโร่ลุกขึ้นอีกครั้ง และพอถึงตอนหลังการไล่ล่าต่อสู้ก็จะไต่ระดับความมันส์ขึ้นไปเรื่อยๆ บอสก็มีทั้งบอสหลักบอสรอง คือมันดูเป็นสูตรแบบค่อนข้างชัดน่ะครับ แต่ก็ไม่ใช่จะไม่ดีนะครับ เพราะอย่างที่ผมชอบบอกเสมอว่าแม้หนังจะลงสูตร แต่หากปรุงออกมาอร่อยพอเหมาะ แม้อะไรๆ มันจะเดิมๆ แต่ก็ยังตอบโจทย์ความสนุกได้อยู่ดี
ภาคนี้กำกับโดย Benny Chan ผู้ล่วงลับครับ สำหรับผมแล้วเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ทำได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของเขาเลย เพราะหนังสามารถผสมดราม่ากับแอ็กชันเข้าด้วยกันได้แบบพอดี หนังมีความเครียดในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หนักอึ้งจนเกินไป แล้วยังมีวาระที่ชวนให้ซึ้งใจ ชวนให้สะเทือนใจแทรกอยู่แบบพอให้ออกรสด้วย เรียกว่าหนังจัดว่าครบรสอยู่เหมือนกันครับ
ส่วนในแง่แอ็กชันก็ให้เฮียเฉินจัดไป แม้ภาคนี้เขาจะไม่ได้บู๊กระหน่ำแบบภาคก่อนๆ ส่วนหนึ่งก็คงเพราะอายุน่ะครับ แต่การที่พี่แกกล้าเล่นฉากไต่ตึกหรือฉากห้อยต่องแต่งตอนท้ายนั่นก็ต้องนับถือใจเขาแล้วล่ะ ไม่แน่จริงเล่นไม่ได้หรอกครับ อะไรแบบนี้นี่ต้องนับถือเขาจริงๆ และบทเฮียเฉินในเรื่องนี้จะออกแนวซีเรียส (เพราะเขาเจอเรื่องที่เลวร้ายมากๆ มา) เขาเลยจะแตกต่างจากเฉินกูกู๋ที่ดูอารมณ์ดีและมีอารมณ์ขัน ซึ่งเฮียเฉินก็เล่นได้ดีครับ และคงเพราะคนทำรู้ว่าบทเฮียเฉินจะซีเรียส ก็เลยต้องเสริมอารมณ์ขันลงไป ซึ่งหนังก็ให้เป็นหน้าที่ของ เซี๋ยะถิงฟง (Nicholas Tse) และเขาก็ทำหน้าที่ได้น่าพอใจครับ
ในเรื่องยังมีหยางไฉ่หนี (Charlie Yeung) ในบทเข่ออี้ คนรักของผู้กองเฉินที่บทอาจไม่มาก แต่ก็ถือว่าน่าจดจำครับ ความอ่อนโยนน่ารักของเธอนี่ทำให้ดูแล้วเชื่อเลยว่าเธอห่วงผู้กองเฉินจริงๆ ซึ่งจริงๆ เธอตัดสินใจอำลาวงการไปตั้งแต่ปี 1997 แล้วนะครับ แต่เธอก็ยอมกลับมาเพื่อเล่นบทนี้ (แล้วก็กลายเป็นว่าติดใจ เพราะทุกวันนี้เธอก็ยังเล่นหนังอยู่), Daniel Wu ในบทกวนจู หัวหน้าแก๊งคนร้าย รายนี้ก็เล่นบทร้ายได้ดีครับ ขณะเดียวกันก็เป็นตัวร้ายที่มีปมที่น่าสงสารด้วย ส่วน Charlene Choi ก็ออกแนวฮาครับ มาช่วยเสริมความฮาคู่กับเซี๊ยะถิงฟง
หนังสอดแทรกเรื่องเด็กขาดความอบอุ่นแบบตรงๆ เลยครับ เพราะคนร้ายในเรื่องแต่ละรายล้วนเป็นเด็กมีฐานะ แต่พ่อแม่ไม่มีเวลาก็เลยรวมตัวกันมาทำอะไรแบบนี้ ก็สะท้อนความจริงของเรื่องหนึ่งในสังคมแบบตรงไปตรงมา ซึ่งในบางช่วงก็อดสะเทือนใจไม่ได้เหมือนกันครับ
จัดว่าเป็นภาคที่สนุกครับ ในแง่แอ็กชันอาจไม่กระหน่ำน่ะนะครับ แต่โดยรวมแล้วหนังมีอะไรให้เราติดตาม มีความลื่นในการเล่าเรื่องในระดับที่น่าพอใจ ็ถือว่าสมศักดิ์ศรีการเป็นหนึ่งในตำนานวิ่งสู้ฟัดครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)