Anthology Movies/Series

Night on Earth (1991)

Untitled04485

หนังชีวิตผสมตลกของผู้กำกับ Jim Jarmusch ที่มาในแนว 5 เรื่องสั้น in 1 ครับ แต่ละเรื่องเหตุก็จะไปเกิดบนรถแท็กซี่ต่างสถานที่แต่เวลาเดียวกัน 5 เรื่องที่ว่าก็ได้แก่

เรื่องแรก Los Angeles

เรื่องของ คอร์กี้ (Winona Ryder) แท็กซี่สาวทอมบอยกับวิคตอเรีย (Gena Rowlands) ผู้อำนวยการสร้างหนังในฮอลลีวู้ด โดยที่วิคตอเรียนั้นกำลังตามหานักแสดงหน้าใหม่อยู่ ระหว่างทางเธอก็คุยกับคอร์กี้ จากที่ตอนแรกเธอรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ดูห้าวๆ พิกล แต่พอผ่านไปสักพักเธอก็เริ่มเห็นอะไรบางอย่างในตัวของเด็กสาวคนนี้ และนั่นทำให้วิคตอเรียยื่นข้อเสนอบางอย่างให้คอร์กี้ลองนำไปคิดดู

เรื่องที่ 2 New York

เฮลมุต (Armin Mueller-Stahl) ชายชราที่อพยพมาจากเยอรมันตะวันออก แล้วก็มาทำอาชีพขับแท็กซี่เพื่อหาเลี้ยงตัวเอง แต่ด้วยความที่เขายังไม่ชินทางและอันที่จริงคือเขาแทบจะขับรถไม่เป็นด้วยซ้ำ ทำให้ผู้โดยสารนามว่า โยโย่ (Giancarlo Esposito) ตัดสินใจโดดไปนั่งที่เก้าอี้คนขับแทน เพื่อที่จะได้สอนเฮลมุตถึงวิธีการขับรถรวมถึงเส้นทางในมหานครนิวยอร์ก

เรื่องที่ 3 Paris

เรื่องของคนขับแท็กซี่ผิวดำ (Isaach De Bankolé) กับผู้โดยสารที่เป็นหญิงตาบอด (Béatrice Dalle) กับการสนทนาที่ทำให้ฝ่ายแรกได้เรียนรู้ว่าคนตาบอดก็มีอะไรที่น่าสนใจมากมายหลายอย่าง

เรื่องที่ 4 Rome

เรื่องของคนขับแท็กซี่ช่างพล่าม (Roberto Benigni) กับหลวงพ่อ (Paolo Bonacelli) ที่จับพลัดจับผลูต้องมาฟังการสารภาพบาปสุดพิลึกจากปากของคนขับแท็กซี่

เรื่องที่ 5 Helsinki

คนขับแท็กซี่นามว่า มิก้า (Matti Pellonpää) รับเอาขี้เมา 3 คนขึ้นมาบนรถ แล้วผู้โดยสารก็เริ่มสาธยายถึงโชคร้ายที่เพื่อนเขาเพิ่งประสบพบมา พวกเขาคิดว่าเพื่อนคนนั้นคือคนที่โชคร้ายที่สุดในโลก แต่แล้วความคิดของพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อมิก้าเล่าความโชคร้ายของเขาให้ทุกคนได้ฟัง

Untitled04487

ออกตัวเลยครับว่าผมชอบหนังแนวหลายๆ เรื่องสั้น in 1 แบบนี้ และขณะเดียวกันผมก็ชอบหนังประเภทที่จับตัวละครมานั่งพูดคุยกันแล้วให้อารมณ์สมจริงจับต้องได้ แบบ Before Sunrise หรือ Before We go ซึ่ง Night on Earth เรื่องนี้ก็เข้าข่ายนั้นครับ เพราะแต่ละตอนตัวละครในแท็กซี่ก็จะมานั่งคุยกัน สนทนาโต้ตอบกัน แบ่งปันประสบการณ์ชีวิต แบ่งปันความคิดมุมมอง หรือไม่ก็ถกประเด็นกัน ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้ดีเลยครับ

ตอนที่ผมชอบสุดขอยกให้ตอนที่ 2 ครับ Mueller-Stahl ในบทเฮลมุตที่แสดงได้ดีมาก เขาดูเป็นชายชราใจซื่อที่น่ารัก จนเราอดไม่ได้ที่จะเห็นใจเขา เพราะเขาขับรถไม่เป็น เส้นทางก็ไม่ค่อยรู้ แต่ก็จำต้องมาขับแท็กซี่ไม่งั้นไม่มีเงินใช้จ่าย ตอนแรกโยโย่ก็เกือบจะรำคาญและขอลงจากรถเหมือนกันครับ แต่พอเจอเฮลมุตขอความกรุณาเท่านั้นล่ะ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันมาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้

ผมรู้สึกว่าตอนนี้ครบรสมากๆ ครับ ไม่ว่าจะอารมณ์ดราม่า อารมณ์ขัน มันถ่ายทอดถึงจุดตัดระหว่างโลกที่แล้งน้ำใจกับโลกที่มีน้ำใจได้อย่างน่าสนใจ และที่สำคัญคือมันดูสมจริงและเป็นไปได้ มันคือเหตุการณ์แบบที่คุณอาจจะพบเจอเข้าระหว่างทางกลับบ้าน แต่จุดที่ต่างก็คือ ถ้าคุณเป็นโยโย่คุณจะเลือกที่จะช่วยหรือเลือกที่จะทิ้งเฮลมุตไว้ แล้วคิดว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องของฉัน”… เลือกแบบไหน ผลลงเอยก็จะต่างไปคนละทางเลย

ตอนที่ 2 จัดว่าสนุก น่ารัก และมีความอบอุ่นเจือแทรกอยู่ครับ ผมชอบสุดแล้วใน 5 เรื่องนี้ ในขณะที่เรื่องอื่นๆ ผมให้คะแนนพอๆ กันครับ เพราะแต่ละตอนก็มีจุดเด่นในแบบของตัวเอง แล้วก็มีจุดอ่อนผสมอยู่บ้าง เริ่มจากตอนแรกที่ดูๆ ไปก็ค่อนข้างธรรมดาครับ แต่มันน่าสนใจเพราะได้พลังการแสดงของ Rowlands และ Ryder ที่ทำให้ 2 ตัวละครดูมีอะไรขึ้นมา ซึ่งผมชอบบทสรุปของตอนนะครับ มันสื่ออย่างชัดเจนเลยว่าคนแต่ละคนย่อมมีทางเดินของตน ย่อมมีวิธีคิดและวิธีเลือกบนฐานความคิดของตนเอง ซึ่งมันจะถูกหรือมันจะผิดก็ยังไม่สามารถบอกได้ ต้องรอจนเราตัดสินใจและลองทำมันไปก่อน เมื่อนั้นเราถึงจะเห็น

และไม่ว่าจะผลลัพธ์มันจะออกมาอย่างไร แต่ถ้าเรายืดอกยอมรับมันแล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราก็จะผ่านมันไปได้

ตอนที่ 3 ก็น่าสนใจดีครับ มุมมองระหว่างสาวตาบอดและคนขับแท็กซี่ที่ค่อนข้างจะหัวแข็งด้วยกันทั้งคู่ ตลอดเวลาที่คุยกันนี่ก็มีการจิกกัดเสียดสีกันไปตลอด จนเหมือนดูมวยถูกคู่ ดูแล้วก็เพลินดี (และยังมีตอนจบที่น่าคิดผสมน่าขำอีกด้วย)

ตอนที่ 4 นี่เอาฮาอย่างเดียวครับ เหมือนดู Benigni มาเดี่ยวไมโครโฟน พี่แกพล่ามได้โล่ห์จริงๆ คือตอนนี้ไม่เน้นสาระอะไรเลยครับ เน้นฮาอย่างเดียว ซึ่งถ้าถามว่าฮาไหม ก็ตอบได้ว่า Benigni แกพล่ามจนฮาน่ะครับ คือไม่มีใครเอาแก่อยู่จริงๆ แกพล่ามแบบลืมเป็นลืมตายเลย ถือเป็นตอนสลับบรรยากาศที่ไม่เลว (แต่ก็อย่างที่บอกครับ อย่าคาดหวังสาระอะไรทั้งสิ้น)

Untitled04486

และตอนที่ 5 ตอนปิดท้ายก็นำเสนอในโทนดราม่าที่ดูจะเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าตอนอื่นๆ มีอารมณ์ดราม่าสูงกว่าตอนอื่นๆ ซึ่งผลที่ได้อาจไม่ถึงขั้นว่าทำให้เราอินแบบเต็มๆ น่ะนะครับ แต่อย่างน้อยหนังก็จับใจเราได้พอตัว และทำให้ตระหนักถึงความจริงที่ว่า คนเราทุกคนย่อมเจอกับเคราะห์ร้ายไม่ช้าก็เร็ว ไม่มากก็น้อย มันไม่มีใครหรอกที่จะไร้ซึ่งความทุกข์ ไม่มีใครหรอกที่จะควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้แบบเป๊ะๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์

ไม่ว่าจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ตราบใดยังมีลมหายใจก็ต้องดิ้นกันไป เดินต่อไป เอาให้รอด นี่คือภาระหน้าที่ธรรมดาประการหนึ่งของมนุษย์ทุกคน

นี่ล่ะครับ Night on Earth จากการเขียนบทและกำกับของ Jim Jarmusch ดูแล้วก็ครบรส ทั้งความสนุก ความเพลิน ได้ทั้งเนื้อหาสาระ และการแสดงดีๆ แม้จะไม่ถึงกับสุดยอดแต่ก็อยู่ในข่ายหนังดีที่ควรดูครับ ใครชอบหนังแนวหลายๆ เรื่องสั้นและชอบหนังที่จับเอาช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตคนมาถ่ายทอดบอกเล่าแล้ว ผมว่าเรื่องนี้เหมาะสำหรับท่านอย่างยิ่งครับ

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22

(7.5/10)