แม้ Maleficent จะไม่ได้มี Effect ละลานตาเท่า Alice in Wonderland หรือ Oz แต่ผมก็ชอบนะครับ
1.) ชอบพล็อตเรื่อง ที่แม้จะง่ายๆ ดูแล้วเดาได้ (ไม่ว่าจะบทสรุปของเมลาฟิเซนต์หรือนิยามอันแท้จริงของ “จุมพิตรักแท้”) แต่มันประทับใจดีครับ โดยที่หนังก็ค่อยๆ “กินใจ” เราไปทีละคำ
ใช่ครับ กินช้าๆ คำอาจไม่ใหญ่นัก… อาจไม่มีฉากซึ้งจัดๆ หรือฉากประทับใจล้นๆ แต่พอดูจบแล้ว หนังก็ได้ใจผมไปหลายคำ… แปลกดีที่หนังกินใจผม แต่ผมดันอิ่ม
2.) ชอบที่เรื่องเทพนิยายสมัยนี้ไม่ได้มีแค่ “ขาวล้วน-ดำร้อย” ไม่จำเป็นต้องมีพระเอกตามสูตร และคนที่ถูกหาว่าเป็นปีศาจตัวร้ายก็หาใช่จะเลวร้ายมาแต่เริ่มโดยไร้เหตุไร้ผล
ทุกการกระทำอันเลวร้าย ย่อมเป็นผลมาจากบางสิ่งเสมอ
3.) นึกไม่ออกว่าใครจะเหมาะกับบทเจ๊เมลาไปกว่า Angelina Jolie ส่วน Elle Fanning ก็เล่นเป็นเจ้าหญิงน้อยออโรร่าได้สดใสน่ารัก ฟรุ้งฟริ้งวิ้งเหลือกำลัง ใครไม่รักเธอก็แปลกล่ะครับ
ในขณะที่คนอื่นๆ แม้จะไม่เด่นแต่ก็ช่วยให้หนังดำเนินไปได้อย่างเพลินๆ
4.) ชอบตอนท้ายที่เฉลยว่าใครคือผู้เล่าเรื่องนี้ทั้งหมด ถือเป็นอะไรที่เหมาะมากครับ แม้หนังจะแฟนตาซีแต่อารมณ์มัน Real ขึ้นมาเลย
+++++++++++++++++++++++++++
ชวนคิดย้อนไปถึงนิทาน เรื่องเล่า เทพนิยาย หรือหนังแฟนตาซีอภินิหารสมัยก่อน ที่ชอบมีพระเอกเก่งๆ ปราบปีศาจที่จู่ๆ ก็ออกมาก่อกรรม ออกมาทำร้ายชาวบ้าน แล้วพอพระเอกปราบได้เรื่องนั้นๆ ก็จะ Happy Ending
แต่ประเด็นคือ มันจัดว่า Happy ได้จริงๆ หรือเปล่า?
เรื่องแบบนี้มีมาเรื่อยๆ นะครับ ปีศาจโผล่มาเสมอๆ หากคิดจุดนี้สักหน่อยก็น่าตั้งคำถามล่ะครับว่าปีศาจมันมาเพราะอะไร จู่ๆ มันอยากหาเรื่องเราหรือเพราะมนุษย์อย่างเราๆ ไปทำอะไรระรานมัน (ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม)
สมัยก่อนก็เล่าแนวพระเอกปราบปีศาจแล้วจบ แต่สมัยนี้ทิศทางความคิดเริ่มเปลี่ยน คนเล่าเริ่มขุดค้นว่าคนไม่ดีหรือปีศาจร้ายไปตกอยู่ในสภาพนั้นๆ ด้วยเหตุผลกลใด (ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวคิดปัจจุบันที่คนหันมาสนใจจิตใจกันและกัน และสนใจธรรมชาติมากขึ้น หลังจากโดนธรรมชาติกระหนำภัยมาบ่อยๆ)
บทสรุปที่ถือว่าเป็น Happy Ending ของโลกยุคใหม่ ตอนนี้จะออกแนวต่างฝ่ายต่างได้ เสียหายน้อยที่สุด และจบกันด้วยดี (Win-Win Solution) มากกว่าจะเป็นฮีโร่ชนะขาดลอย
อาจเพราะหลายคนตระหนักว่า การที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะขาด ก็ย่อมมีฝ่ายที่สูญเสีย ซึ่งฝ่ายที่สูญเสียนั้นเองก็อาจฟื้นมาเป็นปีศาจเมื่อไรก็ได้ และการราวีก็จะไม่สิ้นสุด
อันไหนแบ่งปันได้ก็แบ่ง ยกเว้นคนใดที่ร้ายจนเกินเยียวยา การกำราบให้อยู่ก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่เลี่ยงไม่ได้
แต่กับคนที่พอเยียวยาได้ การให้โอกาสต่อกัน อาจพลิกผันสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นสวยงามขึ้นมา
++++++++++++++++++++++++++++++++
ถือเป็นหนังแฟนตาซีที่ดูสนุกครับ ดูแล้วชวนให้คิดตามว่ามนุษย์อย่างเราๆ ก่อให้เกิดปีศาจขึ้นมามากน้อยแค่ไหนแล้วหนอ
การหันหน้ามาสมานใจกัน และการฝึกนิสัย “ยืดอกรับผิดชอบในสิ่งที่เรากระทำ” (พร้อมทั้งแก้ไขไม่ให้ผิดอีก) อาจเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ ที่จะพัฒนามนุษย์ให้สามารถไปได้ไกลกว่าที่เคย
เรื่องเล่าไม่ว่าจะสยอง ระทึก หรือแฟนตาซี ล้วนมีเค้าโครงบางประการมาจากเรื่องจริงเสมอ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Family, Fantasy