Action

Chappie (2015) แชปปี้ จักรกลเปลี่ยนโลก

MV5BMTUyNTI4NTIwNl5BMl5BanBnXkFtZTgwMjQ4MTI0NDE@._V1_SY1000_CR0,0,674,1000_AL_

โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่า Chappie คือหนังที่มีแก่นหลักว่าด้วย “พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง”

เกรงว่าถัดไปข้างล่างนี้จะเป็น “สปอยล์” ตามนิยามของหลายๆ ท่านนะครับ เอาเป็นว่าถ้าใครยังไม่ได้ดูล่ะก็ ผมขอบอกสั้นๆ ตรงนี้ว่า Chappie คือหนังไซไฟว่าด้วยหุ่นยนต์ที่ดูสนุก มีความน่ารัก+ดราม่า+แอ็กชันผสมกัน อาจไม่ถึงกับสุดยอด แต่รสชาติจัดว่าอร่อย และถือว่ายังคงสไตล์ของผู้กำกับ Neill Blomkamp (District 9) ไว้อย่างน่าพอใจอีกด้วย

=== เข้าโซนสปอยล์ล่ะนะครับ ===

Chappie คือหุ่นยนต์ที่มีจิตใจที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามสูตรหนังแนวนี้น่ะครับ คือกึ่งๆ ว่าเกิดมาจากความบังเอิญ ซึ่งมันก็ทำให้คนที่พบเห็นบ้างก็ชอบ บ้างก็ตกใจ ก่อนเรื่องราวจะขมวดปมว่ามีทั้งคนอยากปกป้องและอยากทำลายมัน

ในแง่หนังแล้ว Chappie ผสมลีลาของหนังหุ่นนิสัยดีรุ่นพี่อย่าง Short Circuit เข้ากับหนังเกรดบีว่าด้วยโลกอนาคตเถื่อนๆ อย่าง Nemesis (นัยน์ตาเหล็ก) สไตล์หนังเลยกระเดียดไปทางเกรดบีหน่อยๆ (คือดูไม่สะอาดสะอ้าน โลกออกแนวเสื่อมโทรมมากกว่าสดสวย และจิตใจคนบนโลกก็ดูกระด้างยิ่งนัก)

แต่จุดที่ Neill Blomkamp ทำให้หนังเรื่องนี้โดดเด่นขึ้นมาคือการใช้ความน่ารักไร้เดียงสาของเจ้าหุ่นแชปปี้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะในเชิงตลกขบขัน, เสียดสีสังคม หรือขยี้อารมณ์คนดูให้สะเทือนใจ

ความเหมือนประการสำคัญของ Chappie กับ District 9 คือการสะท้อนด้านโหดร้ายของสิ่งมีชีวิตทีเรียกว่าคน ที่มักจะตื่นกลัวกับสิ่งที่ตนไม่รู้ มักจะปกป้องผลประโยชน์ตนเอง และมักจะอ้างตัวว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ท่ามกลางพฤติกรรมทำลายล้าง

สังเกตดีๆ จะพบว่าตัวเอกหลักของหนังทั้ง 2 เรื่อง เปิดมาจะออกแนวโลกสวย แต่เมื่อโดน “โลกกระทำ” มากๆ เข้า ตัวเอกก็จะค่อยๆ เรียนรู้ว่าการจะอยู่รอดให้ได้ในโลกใบนี้นั้น จะมา “โลกสวย” อย่างเดียวไม่ได้

การใช้ชีวิตในโลกก็เหมือนล่องเรือในมหาสมุทร… ทะเลสวยๆ มาพร้อมคลื่นลมแรงได้เสมอ

อยากท่องสมุทรให้รอดก็ต้องล่องเรือให้เป็น ล่องอย่างรู้ใจทะเล

แล้วก็อย่างที่ผมบอกครับ หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความเปลี่ยนแปลง

+ ดีออน (Dev Patel) เปลี่ยนแชปปี้จากหุ่นที่ไม่รู้อะไร กลายเป็นหุ่นที่รู้ภาษา แตกต่างจากหุ่นอื่นๆ

+ 3 โจรหางแถวอย่างนินจา, โยแลนดี้ และอเมริกา ต่างก็มีส่วนเปลี่ยนแชปปี้ ทั้งในทางดีและทางร้าย

+ แชปปี้ก็เหมือนเด็กครับ เปลี่ยนจากผ้าขาวเป็นอะไรก็ตามที่คนรอบตัวแต่งแต้มสอนสั่งให้… แรกเริ่มแชปปี้ไม่รู้หรอกว่าอะไรคือถูก-ผิด เขารู้แค่เท่าที่เราบอกเขา

+ ในทางกลับกัน เมื่อเวลาผ่านไป แชปปี้ก็สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อ “พ่อจ๋า” ในทางที่ตัวพ่อจ๋าเองก็คงไม่เคยคาดคิด

+ มิเชล (Sigourney Weaver) ผู้ดูแลบริษัทหุ่น ก็ต้องเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจตน ไปตามกระแสแห่งเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อกระแสสังคม

พลังการเปลี่ยนแปลง นำมาได้ ซึ่งผลลัพธ์ทั้งดีและร้าย

และคนส่งผลสะท้อนถึงกันเสมอ ทั้งทางร้าย และทางดี…

“เรียนรู้เพื่อใช้พลังนี้ให้เป็น” คือสาระสำคัญอันหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ (และหนังอีกหลายเรื่อง) พยายามย้ำให้คนเราตระหนัก ^_^

เพราะถ้าไม่ตระหนักกันสักที… โลกความจริงอาจมีสภาพดูไม่จืดมากกว่าโลกเสื่อมโทรมที่เห็นในหนังก็ได้

====================

ครับ ผมชอบหนังเรื่องนี้ในระดับหนึ่งทีเดียว ในแง่รายได้ก็ถือว่าโอเคครับ ทำเงินทั่วโลกไป $102.8 ล้าน ในขณะที่หนังลงทุนเกือบ $50 ล้าน ก็ถือว่าพอกลบทุนได้ ส่วนกำไรก็ไปเก็บเอาจากตลาดอื่นๆ อีกที

แต่ที่น่าเสียดายอย่างหนึ่ง (อันนี้อาจนอกเรื่องหน่อย) ก็คือ จริงๆ แล้วการทำหนัง Chappie เรื่องนี้ก็เกือบจะทำให้ Blomkamp ได้ทำภาคต่อหนัง Alien แล้วเชียว

เพราะตอนที่เขาทำหนัง Chappie อยู่นั้น มันทำให้เขามีโอกาสได้พบกับ Weaver (เจ้าของบทริปลี่ย์แห่งหนังชุด Alien) แล้วก็นั่งคุยคอนเซปต์เรื่อง Alien กันตอนพัก

คุยไปคุยมา คอนเซปต์ชัดเจนจนค่าย Fox เรียกตัวไปคุย แล้ว Weaver ก็ยังส่งเสียงเชียร์อีก เลยทำให้ทาง Fox จะมอบเก้าอี้ทำหนัง Alien ภาคใหม่ให้ Blomkamp และเขาเองก็คิดคอนเซปต์งานสร้างไปไกลมากๆ แล้ว แต่สุดท้ายฝันก็สลายเมื่อ Ridley Scott ยืนกรานว่าจะเอาหนัง Alien ไปทำต่อ Blomkamp จึงถอยออกมา

ถ้าอยากทราบว่าทำไมผมเสียดาย ขอแนะนำให้ลองไปค้นใน Google ครับ ว่าสิ่งที่ Blomkamp วาดภาพไว้สำหรับ Alien ภาคต่อนั้นเป็นอย่างไร

นอกเรื่องไปไกลกลับเข้าเรื่องหนัง Chappie นะครับ เอาเป็นว่าหนังทำออกมาได้น่าพอใจ ดูสนุก และได้อะไรติดหัวกลับมาคิด ทบทวนเกี่ยวกับตัวเราและสังคมรอบตัว

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)

Untitled05753