การท่องคาถา “อย่าคาดหวังมากนะเออ” ถือเป็นเคล็ดที่ขาดไม่ได้ยามจะดูหนังภาคต่อสักเรื่อง โดยเฉพาะภาคต่อที่ภาคแรกดันทำไว้เทพมากๆ
และดูเหมือนคาถานี้จะช่วยผมไว้อีกครั้ง
ว่าตามจริง Taken 2 ยังถือว่าเป็นหนังแอ็กชันไล่ล่าที่ดูสนุกเพลินไม่เลว เนื้อเรื่องก็ต่อจากภาคแรกได้เนียนพอควร หนังเล่าถึง ไบรอัน มิลส์ (Liam Neeson) อดีต CIA ที่คราวก่อนได้ลุยเดือดทลายขบวนการค้ามนุษย์เพื่อช่วย คิม (Maggie Grace) ลูกสาวสุดที่รัก ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นก็ดูเหมือนว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับคิม และ เลนอร์ (Famke Janssen) อดีตภรรยาจะดีวันดีคืน ดีจนถึงขั้นมีแววว่าครอบครัวมิลส์จะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง
แต่ทว่าญาติมิตรของเหล่าร้ายที่ถูกไบรอันฆ่าตายไป ก็ได้รวมพลกันมาตามล่าเขาและครอบครัว ทำให้ไบรอันต้องงัดไหวพริบที่มีมาปกป้องครอบครัวที่เขารักให้รอดพ้นจากภัยครั้งนี้ให้จงได้
อย่างที่บอกครับภาคนี้ดูได้เรื่อยๆ สนุกพอประมาณ แต่หากเทียบกับภาคแรกแล้วก็จะพบว่า “ของดี” นั้นขาดหายไปหลายอย่าง
อันนี้ต้องขอย้อนก่อนว่า จุดที่ผมยกนิ้วให้กับภาคแรกนั้นก็ได้แก่
– ช่วงปูพื้นตอนต้นเรื่องสั้นกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ ดูแล้วรู้เลยว่าไบรอันเก่งขั้นเทพ, แยกกันอยู่กับภรรยา และที่สำคัญคือ เขารักคิมมากๆๆๆๆๆๆ
– ฉากคิมโดนลักพาตัว ทำได้กดดันจนเกร็ง ขณะเดียวกันก็ยังโชว์ความเหนือของไบรอันได้อย่างเจ๋ง และลุง Liam ก็ไม่ลืมถ่ายทอดอารมณ์รักลูกแบบสุดหัวใจลงไปในฉากนี้ด้วย
– การตามสืบหาตัวการที่ลักพาคิมไปเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว เนียน ลุ้น ตื่นเต้น เร้าใจ และสะใจมว๊ากในทุกวาระที่ไบรอันออกหมัดซัดเหล่าร้าย
– ประโยคปิดงานที่สะใจและสาสมอย่างยิ่ง สำหรับเจ้าตัวการที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมา
องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ Taken ภาคแรกไปนั่งแท่นเป็นหนึ่งใน 10 หนังแอ็กชันโคตรเยี่ยมในดวงใจใครต่อใครได้อย่างไม่ยากเย็น อย่างผมเองก็ยกนิ้วให้เช่นกัน และยังเอามาดูซ้ำบ่อยๆ ด้วย
ครั้นมาภาคนี้ รู้สึกว่าหนังพยายามเดินตามรอยภาคแรกหลายอย่าง แต่ผลที่ได้ยังไม่ถึงระดับนั้น อย่างการปูพื้นเล่าเรื่องที่ดูจะอืดไปนิด และส่วนที่หนังทำท่าว่าจะลืม คือการแสดงให้คนดูรู้สึกว่าไบรอันยังรักอดีตภรรยาอยู่ไม่เสื่อมคลาย ซึ่งผลที่ได้ไม่ขลังเท่าภาคแรก ที่เคยทำให้เราเชื่อว่าไบรอันรักลูกมากขนาดไหน
ฉาก “โดนลักพา” ภาคนี้ก็ไม่กดดันเท่า แต่ก็เข้าใจล่ะครับว่าสถานการณ์มันต่างกัน ได้ประมาณนี้ก็นับว่าโอเคแล้ว และดีที่หนังแก้เกมด้วยการโชว์เทพสไตล์ไบรอันในฉากต่อๆ มา
ผมว่าพลังสำคัญที่ทำให้หนังภาคนี้ดูเพลิน คือการแสดงของลุง Liam Neeson ที่ยังคงเป็นไบรอัน มิลส์ได้อย่างสนิทใจ การโชว์เทพแบบมีสติเสมอในการแก้ปัญหานั้นคือเสน่ห์เด็ดๆ ของหนังชุด Taken อย่างแท้จริง และเสน่ห์ตัวนี้แหละครับที่พยุงหนังทั้งเรื่องไว้ได้ค่อนข้างตลอดรอดฝั่ง
ดาราคนอื่นอย่าง Grace ก็ไปได้ดีกับบทครับ ในขณะที่ Janssen ออกจะมีบทน้อยไปสักนิด แต่ก็ยังดีครับที่หนังได้ Rade Serbedzija มารับบทเป็นผู้นำของเหล่าร้าย ที่ขานี้ก็ถนัดบทคนพาลพอๆ กับบทคนดีนั่นล่ะครับ และอีกคนที่ลืมไม่ได้ก็คือ Leland Orser ในบทแซม เพื่อนซี้ที่คอยช่วยไบรอันอยู่เสมอ รายนี้บางจังหวะก็เรียกอารมณ์ฮาได้พอตัว
มันก็ยังดูได้พอสนุกล่ะครับ เพียงแต่มีจังหวะอืดๆ บ้างในบางช่วง, มีบางจังหวะที่ตัวละครรอดได้เพราะ “ความฟลุ๊ค” อย่างฉากที่คิมอยู่ในตู้นั่น ซึ่งทำให้จุดลุ้นๆ มันหายไปหลายอยู่เหมือนกัน หรือไม่ก็อุปสรรคระดับอนุบาลที่เทียบได้กับ “รถสตาร์ทไม่ติด แล้วค่อยติดในนาทีสุดท้าย” สำหรับหนังสยองขวัญ นั่นก็คือ”โทรศัพท์ต่อไม่ติด สายไม่ว่า หรือ ไม่มีคนรับ” ที่มีบ่อยครั้งเกินไปหน่อย รอบแรกยังพอเข้าใจ แต่หลังๆ นี่เจ้าของเครื่องมักจะไม่รับด้วยสารพัดเหตุผลที่ออกจะชวนขำไปสักนิด เรียกว่าเล่นมุกนี้มากๆ ก็พาลกร่อยไปได้ง่ายๆ
เอาเถอะครับ ก็ธรรมดาของภาคต่อนั่นแหละ หลายอย่างดูดรอปไป ส่วนหนึ่งก็คงเพราะความเกร็งของทีมงาน แรงบงการของผู้สร้างที่กลายเป็นการเพิ่มความกดดันไปเสียแทน และผู้กำกับที่เปลี่ยนไป ซึ่งคราวนี้ได้ Olivier Megaton แห่ง Transporter 3 และ Colombiana ที่คุมหนังได้ไม่เลว แอ็กชันก็ใช้ได้ แต่ด้านอารมณ์ ด้านความเนียน บท และการวางจังหวะให้ลุ้นนั้นยังไม่สุดๆ แต่ถ้าให้เรียงลำดับ ผมว่าเรื่องนี้ของพี่ท่านทำออกมาได้สนุกกว่า 2 เรื่องก่อน อยู่พอตัว… แต่จนบัดนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าที่มันสนุกกว่านั้นเพราะฝีมือที่ก้าวหน้าขึ้นของพี่ Olivier หรือเพราะบารมีรัศมีเทพของลุง Liam กันแน่ (สารภาพว่าใจผม กระเดียดคิดไปทางอย่างหลัง)
ผมชอบสาระเล็กๆ น้อยๆ ที่หนังสื่อไว้นะครับ ว่าผลแห่งความรุนแรงมันก็คือความรุนแรงนั่นเอง ทำกันไปทำกันมา แรงมาแรงไป จองเวรมาล้างกรรมไป วนเวียนไม่มีวันจบ เว้นแต่จะมีใครสักคนระงับใจตนไม่ให้ก่อความรุนแรงตอบโต้ออกไป เมื่อนั้นความสงบก็จะเกิด ความบาดหมางเสียหายก็จะลดน้อยลง
หนังก็ชี้ชวนให้เราทบทวนการกระทำของเราทั้งที่ทำไปแล้วและที่จะทำในอนาคตด้วย ว่าเราควรคิดให้ดี คำนึงถึงผลให้ดี ต้องระวังอย่าให้อารมณ์มาสั่งลุย หรือถ้าเราทำอะไรลงไปแล้ว ก็ต้องเตรียมใจพร้อมรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมา (แต่กับกรณีที่พี่ไบรอันแกก็เข้าใจพี่แกเหมือนกันครับ ใจไม่อยากแต่ถ้าเราไม่ทำเขา เขาก็เล่นเราก่อน มันคือคนละบริบทและคนละสถานการณ์กัน)
จากเรื่องราวภาคนี้ก็ดูท่าว่าจะมีการทำภาค 3 ต่อออกมาแน่ๆ ผมก็พร้อมดูครับ แต่ขอให้ทำออกมามันส์ลื่นกว่านี้ เปิดโอกาสให้พี่ไบรอันได้ใช้สมองโชว์เหนือมากขึ้นอีกก็น่าจะดีไม่น้อย และที่สำคัญคือ จะพาญาติโกโหติกาของคนร้ายที่ตายไปมาขึ้นจออีกก็ได้ แต่โปรดเล่นมุกนี้อีกรอบเดียวแล้วจบแค่ภาค 3 พอ ให้มันหมดจบพอดีไตรภาคก็น่าจะสวยงามแล้ว กรุณาอย่าได้ขุดพาอาเขยน้องเมียเพื่อนพ่อผู้ร้ายมาจองเวรอีกเลย
ไม่งั้น Taken จะกลายเป็นศุกร์ 13 สำหรับหนังแอ็กชันกันพอดี
สำหรับภาคนี้ ยังได้สองดาวใกล้ครึ่งครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Thrillers