โปรเจคท์หนัง Drag Me to Hell เรื่องนี้ อาจทำให้ใครหลายคนงงว่า ไหงผู้กำกับพันล้าน Sam Raimi แห่งหนังชุด Spider-Man ถึงลงมาจับงานหนังสยองเล็กๆ อย่างนี้ได้
แต่ถ้าคุณรู้จัก ลุง Sam แกมานานก็จะเข้าใจครับ ว่าจริงๆ แล้วงานหนังแนวที่แกชื่นชอบก็คือแนวสยองนี่แหละ เพราะงานชิ้นแรกที่ทำให้เขาแจ้งเกิดก็คือ The Evil Dead ไตรภาค อันเป็นงานหนังสยองปนตลกที่ใช้ทุนต่ำ แต่สามารถทำให้คนดูตกใจสะดุ้งโหยงได้อย่างไม่น่าเชื่อ อีกอย่างนะครับ ถ้าลุง Sam เขาไม่ชอบหนังสยองล่ะก็ คงไม่ตั้งบริษัททำหนังที่ชื่อ Ghost House ขึ้นมาเพื่อทำหนังสยองโดยเฉพาะหรอก จริงไหมครับ
ดังนั้นการที่ ลุง Sam โดดลงมาทำหนังสยองเล็กๆ ทุนก็ไม่สูงเรื่องนี้ก็เป็นเสมือนการพักผ่อนจากโปรเจคท์ใหญ่ๆ (อย่างพี่สไปดี้) ที่โหมทำต่อเนื่องมาตั้งเกือบ 10 ปีแน่ะ
ก็ลองนึกภาพนะครับ ถ้าเราจะพักหรือทำอะไรที่จะช่วยให้ตนเองได้ผ่อนคลาย ก็ต้องเป็นการนั่งทำอะไรที่เราชอบ ที่เราสนุกกับมันจริงไหมครับ เช่น บางคนก็เล่นเกม บางคนก็แต่งหนังสือ บางคนก็ออกกำลังอะไรก็ว่าไป และนี่แหละครับ คือการพักผ่อนเบาๆ สไตล์ ลุง Sam… ทำสยองตามใจฉันนั่นเอง
และจะว่าไปแล้ว Drag Me to Hell ก็ไม่ใช่ของใหม่ที่ลุง Sam เพิ่งนึกจะทำก็ทำหรอกนะครับ จริงๆ แล้ว บทหนังเรื่องนี้น่ะ ลุง Sam กับพี่ชายของเขาที่ชื่อ Ivan Raimi ได้ร่วมกันปั้นเรื่องเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ 17 ปีก่อนน่ะครับ หลังจาก ลุง Sam แกปิดกล้องหนังตอนจบของไตรภาค The Evil Dead เรื่อง Army of Darkness และเขาก็หมายมั่นว่าจะทำหนังเรื่องนี้ต่อ แต่เผอิญตอนนั้นลุง Sam แกมีโปรเจคท์อื่นมาติดพันน่ะครับ เลยต้องพับโปรเจคท์นี้ลงลิ้นชักไปก่อน
เฮ่อ เกือบ 20 ปีน่ะครับ กว่าแกจะได้ทำหนังที่แกอยากทำจริงๆ เรื่องนี้ … ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าแกจะทำหนังออกมาอีท่าไหน เพราะแค่ชื่อแค่แนวก็พอจะเดาทางได้แล้วล่ะว่ามันน่าจะมีกลิ่นอาย The Evil Dead แต่ขณะเดียวกันในใจก็คิดอีกว่า ดีกรีความดิบ ความสยองน่าจะไม่มากเท่ากับเรื่องนั้น… และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย
Drag Me to Hell เป็นเรื่องของสาวน้อยน่ารัก คริสทีน บราวน์ (Alison Lohman) ที่มีแฟนหนุ่มนิสัยดี (Justin Long) คอยเคียงข้าง และกำลังอยู่ในสภาวะลุ้นอย่างหนักว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งเลื่อนขั้นหรือไม่ แต่แล้วนรกก็บังเกิดครับ เมื่อเธอปฏิเสธคำขอร้องวิงวอนผ่อนผันเรื่องการยึดบ้านของหญิงชราคนหนึ่ง (Lorna Raver) ซึ่งพอดีว่าหญิงชราคนนั้นดันเป็นพวกยิปซีที่มีคำสาปแรงกล้าซะด้วย
และคริสทีนก็โดนหญิงชราสาปครับ ว่าอีก 3 วันเธอต้องเจอกับความตายอันแสนทรมาน… เอาล่ะสิ แล้วคริสทีนจะกำจัดคำสาปนี้ให้พ้นไปจากตัวได้หรือไม่ และระหว่าง 3 วันนี้ เธอจะต้องเจอกับอาถรรพ์ปีศาจในรูปแบบไหนบ้าง
พล็อตง่ายครับ ไม่มีอะไรซับซ้อน หนังยาวประมาณ 99 นาที ครึ่งแรกก็ปูพื้นตัวละคร ครึ่งต่อมาก็ลุ้นว่าคริสทีนจะแก้คำสาปได้หรือไม่อย่างไร หนังมาง่ายๆ แบบที่คิดเลยแฮะ ขนาดตอนจบบทสรุปก็ยังเป็นไปตามที่คิดเป๊ะ
ตามปกติถ้าผมพูดแบบนี้ ผมน่าจะไม่ชอบหรือเฉยๆ กับหนังนะ เพราะมันก็เดาทางได้ และถ้าว่าตามจริงคือหนังมันไม่ได้แรง ไม่ได้โหดสุดขีดประเภทแขนขาตัวหัวกระจุย ปริมาณความแหวะความสยองนี้เบากว่า The Evil Dead เยอะครับ เรื่องนั้นน่ะอวัยวะกับโลหิตเนี่ยเปรอะหนักกว่านี้อีก แล้วก็มุกหลอนชวนตกใจไม่ว่าจะผีโผล่มาแฮ่หรือมุมกล้องหยองๆ จะว่าไป The Evil Dead ก็เยอะกว่าอยู่ดีน่ะแหละ
แต่ทว่า… แล้วทำไมผมยังโอเคกับหนังอยู่ล่ะเนี่ย อืมม์ น่าคิดๆ
สาเหตุก็คงเพราะ แม้หนังจะไม่ได้สยองแรง ไม่ได้กระหน่ำเลือด แต่หนังมันมีความพอดี ลงตัวในแบบของมันเอง และที่สำคัญคือหนังมันไม่ได้เป็นแค่หนังสยองเท่านั้นหรอกครับ มันเป็นแนวชีวิตปนสยองมากกว่า
ดูจากปริมาณการนำเสนอเนื้อหาแล้ว อารมณ์ดราม่ากับสยองนี่ครองจอแทบจะพอๆ กันเลยครับ ผมเลยคิดว่าเจตนาของลุง Sam น่ะ คงไม่ใช่แค่ทำหนังน่ากลัวเข้าว่า แต่แกน่าจะออกแนวทำหนังทดลอง ผสมดราม่า สยอง แล้วก็อารมณ์ขันเข้าด้วยกันอะไรเทือกนั้นมากกว่า… ซึ่งก็ผสมได้อร่อยพอดู
ไปๆ มาๆ จุดที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ความสยองครับ แต่เป็นดราม่ามากกว่า ผมชอบที่หนังพาเราไปรู้จักกับนางเอกอย่าง คริสทีน บราวน์ ทำให้เรารู้สึกผูกพันและเห็นหลายๆ อุปนิสัยของเธอ ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี ซึ่งทำให้เธอมีมิติ ทำให้คนดูรู้สึกได้ว่าเธอน่ะคือคนๆ หนึ่งจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวละครแบนราบที่เดินไปเดินมาบนจอหนังเท่านั้น
ลองนึกย้อนดูแล้ว หนังสยองที่ทำให้คนดูผูกพันกับตัวเอกได้แทบจะมีนับเรื่องได้น่ะครับ มันน้อยมาก ทั้งๆ ที่การทำให้คนดูผูกพันกับตัวเอกนั้นจะมีความสำคัญต่ออารมณ์ผู้ชม ทำให้เราอยากเอาใจช่วยเธอ และคอยเชียร์เธอให้รอดจากภัยมรณะครั้งนี้
จุดนี้ผมยกนิ้วให้ทั้ง ลุง Sam ที่กำกับถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดี และการแสดงของ Lohman ก็ดีมากๆ น่ะครับ ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจอีกนั่นแหละ เพราะเธอเล่นหนังดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อย่าง Matchstick Men นั่นก็เด่นมากล่ะครับ ไม่เชื่อลองไปหาดูกันได้ ผมคงไม่บอกว่าเธอเล่นเป็นบทอะไรนะครับ เดี๋ยวจะสปอยล์ แต่บอกได้ว่าผมจำชื่อเธอได้แม่นก็จากเรื่องนั้นน่ะแหละ
นักแสดงสมทบก็โอเคครับ อย่าง Long แกดูเป็นผู้ชายใจดีเหมาะสมกับนางเอกดีน่ะครับ แล้วหนังก็ยังไม่ละเลยที่จะสอดแทรกดราม่า มิติตัวละครตัวนี้ลงไปด้วย ถือเป็นการทำให้คนดูรู้สึกผูกพันกับตัวเอกไปอีกชั้นหนึ่ง
ส่วนเจ๊ Raver ในบทแม่หญิงชราจอมสาปก็น่าเกลียดน่ากลัวดีแท้ ตอนทำท่าหงิมๆ ก็ดูเป็นคนแก่ไร้ทางสู้ดีอยู่หรอก แต่พอแววตาโหดขึ้นมาแทนที่เมื่อไรล่ะก็วงแตกแจกแอนตาซิลกันไปข้างหนึ่งเลย ดูก็รู้อ้ะครับว่าเธอคนนี้ถ้าโกรธล่ะก็ต้องเล่นถึงตายแน่นอน แหม เล่นได้ดีจริงๆ นะครับเนี่ย
อีกตัวละครหนึ่งที่ผมชอบก็คือ หมอดู ราม จาส ที่รับบทโดย Dileep Rao ซึ่งบอกตามตรงว่าถ้าเจอหมอนักทำนายแบบนี้ล่ะผมยินดีให้เงินล่ะครับ เพราะนอกจากพี่แกจะไม่ฟันธงสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่บ้าคอนเฟิร์มใครแล้ว แกยังมีจรรยาบรรณแห่งการเป็นหมอดู นั่นคือ เป็นหมอดูที่ช่วยคนชนิดที่เรียกได้ว่า ช่วยแล้วต้องช่วยจนถึงที่สุด แล้วยังรู้จักกาลเทศะไม่เปิดเผยเรื่องของผู้มาดูแบบสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วก็ยังสอนคนมาดูหมออีกต่างหากว่าทำอย่างนี้แล้วต้องระวังผลนะ ทำอย่างนี้ไม่ดีนะ แหม พี่ครับ… มาสอนหมอดูในประเทศของผมทีเถอะ ได้โปรด!
ครับ ด้านดราม่าผมว่าใช้ได้เลยล่ะ ส่วนความสยองก็ถือว่าไม่เลว มันอาจจะไม่ได้สยองโหดนะครับ แต่มันเป็นแนวสยองแบบมุกตกใจ แบบมันโผล่มาแฮ่อะไรเทือกนั้นมากกว่า ซึ่งก็น่าพอใจ ตกใจหลายรอบอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะไอ้ผ้าเช็ดหน้านั่น แหม นับถือลุง Sam แกเหมือนกันครับที่สามารถทำให้แม้แต่ผ้าก็ยังน่ากลัวได้เนี่ย
… คงเพราะสิ่งเหล่านี้มาผสมกันมั้งครับ ผมเลยโอเคกับหนังแม้มันจะเดาได้ แม้มันจะไม่ได้แปลกใหม่ไปเสียทั้งหมด แต่รสมันกลมกล่อม และมีจุดเด่นที่หนังสยองยุคหลังๆ ไม่ค่อยมีนั่นคือ มิติตัวละคร การสอนคน สาระเรื่องการใช้ชีวิต เพราะส่วนมากเขาจะไปเน้นสยองสยองสยอง ผีผีผี โหดโหดโหด คลานคลานคลาน แล้วก็เซ็กซ์เซ็กซ์เซ็กซ์
แต่กับเรื่องนี้ ไม่เน้นครับ ลุง Sam แกเล่าเรื่องโดยไม่ใช้วิธีเน้น แต่แกเล่าโดยวิธีถ่ายทอดส่วนต่างๆ อย่างพอดีพอเหมาะ ไม่ได้เน้นอะไรเป็นพิเศษ แต่ทำให้ทุกอย่างเข้ากันได้หมด ทั้งดราม่าและสยองและตลก ซึ่งมันมามิกซ์กันแบบไม่ดูยัดเยียดแต่อย่างใด
และที่ชอบอีกอย่างหนึ่งคือ นางเอกสู้ครับ ไม่ได้ปล่อยให้ผีมันหลอกๆๆ ฝ่ายเดียว มีซัดกันมันด้วย แบบนี้ค่อยถูกใจหน่อย คงเพราะเจอหนังแบบยอมผีมาเยอะมั้งครับ ประมาณว่าหลายๆ คนน่ะ เจอผีแปลว่าต้องตายแน่ บางคนก็ยอมตายแบบไม่สู้อะไรเลย แต่กับคริสทีนและหลายตัวละครในเรื่องมีการโต้ตอบอัดกลับกับผีตามสมควร แหม สะใจแท้
อยากบอกลุง Sam แกจังว่า “ขอบคุณครับลุง ที่ช่วยกู้ศักดิ์ศรีคนอย่างเราๆ หลังจากโดนผีกดขี่มานาน ก็มีหนังของลุงนี่แหละที่ตัวละครในเรื่องไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำฝ่ายเดียวน่ะ”
… นี่อดคิดไม่ได้ว่า งานต่อไป เห็นแกบอกจะทำ The Evil Dead รีเมคใหม่… สงสัยผีมีโดนกระทืบแน่นอน เตรียมสะใจล่วงหน้าได้เลยเรา
ครับ บทอาจง่ายๆ แต่การเดินเรื่องมันกลมกล่อม.. อันนี้ต้องบอกให้เข้าใจก่อนว่า หนังเรื่องนี้มันออกแนวกลมกล่อมน่ะครับ ไม่ได้เด่นโดดสุดยอดอะไรมากมาย แต่มันดูเพลินกำลังดี จนผมยกให้เป็นหนังสยองที่ดีมากเรื่องหนึ่ง ซึ่งในความหมายผม หนังสยองที่ดีไม่ได้แปลว่ามีฉากสยองเยอะ หรือต้องน่ากลัวที่สุดเท่านั้นนะครับ แต่ยังหมายถึงหนังที่มีรสชาติผสมผสานที่พอเหมาะ นั่นก็จัดว่าดีได้… แต่ในความเห็นผมหนังไม่ได้น่ากลัวมากหรือสยองสุดเดช อันนี้ต้องบอกไว้เพราะได้ยินหลายคนเลยล่ะครับที่บอกว่า “หนังไม่เห็นสยองเลย ทำไมออกมาชมกันจัง” ก็ขอตอบนะครับว่า คำชมนั่นน่ะ ไม่ได้ชมว่ามันสยองหรือน่ากลัวสุดๆ แต่มันเป็นการชมว่าหนังนั้น “อร่อยกลมกล่อม” ซะล่ะมากกว่า
อ้อ และไม่ชมไม่ได้ครับ กับดนตรีประกอบของ Christopher Young คอมโพเซอร์อีกคนที่ผมติดหูมากตอนที่แกทำดนตรีใน Hellbound: Hellraiser II ซะอลังการสุดยอดไปเลย มาเรื่องนี้ก็ดีครับ เข้ากับอารมณ์และสไตล์ของลุง Sam แกดี ซึ่งดูท่าว่าจะผูกขาดกันไปอีกนานล่ะครับ เพราะ Spider-Man 3 เขาก็ทำดนตรีให้ลุง Sam เหมือนกัน
เอาล่ะนะครับ โดยรวม จัดว่าเป็นหนังสยองผสมดราม่าที่สนุกกลมกล่อมใช้ได้ แต่อย่าคาดหวังว่ามันจะสยองมากมายหรือมีอะไรแปลกใหม่ครับ มันก็สูตรเดิมๆ แต่มีการปรุงที่พอเหมาะ แล้วก็ได้หนึ่งในเจ้าตำรับคนทำหนังผีสไตล์โผล่มาแฮ่ ตุ้งแช่ให้ต๊กใจมาทำเองด้วย ก็ถือเป็นการวัดฝีมือความก้าวหน้าของลุงแกได้เหมือนกันนะครับ ว่ามือตกไหม ซึ่งดูๆ แล้วก็โอเคครับ มือไม่ตก ใช้ได้ๆ
ดูหรือไม่ ตัดสินใจกันได้ครับ แต่บอกได้เลยว่าเป็นหนังสยองที่กลมกล่อมกำลังดีที่สุดในรอบหลายปีมานี้ (กลมกล่อม แต่ไม่ได้บอกว่าสยองที่สุดนะครับ)
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Horror