Christmas Movies

The Christmas Train (2017)

24294048_1846996405331152_460643873552541369_n

ในปีที่ The Christmas Train ลงจอครั้งแรกนั้น (ปี 2017) ตลาดหนังต้อนรับวันคริสต์มาสจัดว่ามีความหลากหลายมากขึ้นครับ อย่างที่บอกว่าในตอนนั้นหนังแนวนี้คนทำออกมาน้อย จะเหลือก็แต่ Hallmark เท่านั้นที่ขยันทำออกมาทุกปีๆ ครั้นมาในปีนั้น หลายค่ายเริ่มทยอยทำออกมา

อย่าง Netflix ก็สร้างหนังวันคริสต์มาสขึ้นมาพร้อมใช้ฉากจริง สถานที่จริง ซึ่งแม้รสชาติอาจยังไม่ถึงกับกลมกล่อมมากมาย แต่ก็ถือเป็นการก้าวแรกที่ไม่เลวสำหรับการเริ่มทำหนังแนวนี้

แล้วพอหันมาดูทาง Hallmark ที่ถือเป็นผู้ผลิตหนังแนวนี้เป็นรายใหญ่รายหนึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตอนแรกผมก็นึกว่าจะแค่ทำออกมาแบบเดิมโดยไม่เพิ่มไม่เติมอะไรไปมากกว่าที่เป็น แต่ไปๆ มาๆ Hallmark ก็เริ่มขยับตัว พร้อมรับมือเหมือนกัน

The Christmas Train ถือเป็นหนังคริสต์มาสที่มีฟอร์มมากว่าที่ผ่านๆ มา ที่มักจะเป็นเรื่องแนวโรแมนติก แล้วดาราก็ไม่ถึงกับโด่งดังอะไรมาก แต่กับเรื่องนี้มีการลงทุนมากกว่าเดิม และเพิ่มเนื้อหาให้หลากหลายขึ้น

เริ่มจากตัวหนังที่ดัดแปลงจากหนังสือของ David Baldacci ที่นักอ่านบ้านเราน่าจะคุ้นเคยผลงานแนวทริลเลอร์ของเขา อย่างชุด The Camel Club หรือหนังของปู่ Clint Eastwood เรื่อง Absolute Power ก็สร้างจากนิยายของเขาเช่นกัน

ถัดมาก็คือดาราที่ถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับหนังทีวี ไม่ว่าจะ Dermot Mulroney (My Best Friend’s Wedding), Kimberly Williams-Paisley (Father of the Bride ทั้ง 2 ภาค), Danny Glover (Lethal Weapon ทั้ง 4 ภาค) และ Joan Cusack (Arlington Road และ In & Out) เรียกว่าแม้จะไม่ดังสุดๆ แต่คอหนังยุค 90 คงจำพวกเขาได้แน่นอน

เรื่องของ ทอม แลงดอน (Mulroney) นักเขียนที่ตั้งใจจะนั่งรถไฟเที่ยวยาว (กินเวลาประมาณ 4 วัน) เพื่อหาไอเดียเกี่ยวกับงานเขียนเล่มใหม่ของเขา โดยเขาหมายว่าจะใช้เรื่องราวของผู้โดยสารบนรถไฟนี่แหละ เป็นวัตถุดิบหลัก

แล้วก็ประจวบเหมาะที่เขาได้พบกับ เอเลนอร์ คาร์เตอร์ (Williams-Paisley) คนรักเก่าที่ขึ้นรถไฟขบวนนี้ ตามคำชวนของ แม็กซ์ พาวเวอร์ (Glover) ผู้กำกับหนังชื่อดัง ซึ่งหนังก็จะบอกเล่าให้เราได้รับรู้ครับว่าตลอดเวลา 4 วันบนรถไฟขบวนนี้ พวกเขาได้พบเจอกับเรื่องอะไรบ้าง และได้เรียนรู้แง่คิดใดเกี่ยวกับชีวิตบ้าง

พูดแบบไม่เข้าข้าง Hallmark ก็คือ หนังมีพล็อตที่ดี ดาราที่ดี (ถึงดีมาก โดยเฉพาะ Glover และ Cusack ที่ดูก็รู้เลยว่าพวกเขาตั้งใจแสดงจริงๆ) แต่การเดินเรื่องอาจยังไม่ราบรื่นนัก จริงๆ หนังสามารถเล่าเรื่องแบบร้อยเรียงเหตุการณ์ให้เกิดความประทับใจได้เป็นระยะๆ แต่หนังกลับไม่ลงลึกในประเด็นต่างๆ ให้มากพอ เลยทำให้ไปไม่ถึงความพีค

หากมองในเชิงการแข่งขันในตอนนั้น คงต้องบอกว่า Netflix กับ Hallmark ต่างก็พยายามก้าวออกจากกรอบเดิม และสร้างอะไรที่มันใหม่ๆ (อย่างน้อยก็ใหม่สำหรับพวกเขา) แต่ขณะเดียวกันด้วยความที่มันใหม่นี่เอง เลยทำให้ผลลัพธ์ที่ได้อาจยังไม่ลงตัวเท่าที่ควร

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ การลองของใหม่ มันก็แบบนี้แหละ บางทีมันก็ปังแบบพอดี แต่บางทีมันก็ออกมากลางๆ พอกล้อมแกล้ม แม้จะไม่ดีเด่ แต่ก็ไม่แย่จนเกินไป ซึ่งสำหรับหนังเรื่องนี้ก็อย่างที่บอกครับว่ามีดี มิหนำซ้ำยังมีการหักมุมด้วยนะครับ เพียงแต่หากว่ากันถึงความประทับใจแล้ว หนังยังไปไม่ถึงฝั่งฝันครับ

เช่นเดียวกับแง่คิดที่ดูกระจัดกระจายไปนิด จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหนังโฟกัสดีๆ เล่าเรื่องแบบเน้นๆ ให้สอดประสานกับแง่คิดและความประทับใจ หนังเรื่องนี้จะต้องออกมาสุดยอดอย่างแน่นอน – แต่ก็คิดเสียว่าหนังเรื่องนี้ (รวมถึงอีกหลายเรื่องในปีนั้น) เป็นเพียงก้าวแรก ไว้พอทำไปๆ แล้วพวกเขาอาจจะเจอทางที่ชัดเจนของตัวเองมากขึ้น

แต่สำหรับผม จุดที่รู้สึกดีใจคือได้เจอดาราหน้าคุ้นมาปรากฏตัวร่วมกันครับ โดยเฉพาะ Glover ที่ระยะหลังมักจะเห็นเขาเล่นแต่หนังเกรดบีเสียมาก พอได้มาเห็นเขาเล่นบทน่ารักๆ แบบนี้ ก็เลยดีใจครับ ^_^

สองดาวบวกครับ

Star21

(6.5/10)