10 ปีที่ผ่านมา เราได้อะไรจากหนังในชุด Marvel Cinematic Universe กันบ้างครับ?
(ครึ่งแรกยังไม่มีการสปอยล์ครับ แต่หลังจากดาวลงไปก็จะเป็นโซนสปอยล์ครับ)
บางคนได้หนังมันส์ๆ ไว้ดูต่อเนื่องกันยาวๆ, บางคนก็เหมือนฝันเป็นจริงที่ได้เห็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ตนชื่นชอบ ได้มีชีวิตออกมาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม หรือบางคนก็อาจยังคงรู้สึกไม่เข้าใจว่าหนังตระกูล Marvel นี่มันมีดีที่ตรงไหน ทำไมคนชอบกันนักชอบกันหนา…
ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบหนังในจักรวาล Marvel แต่ก็ต้องยอมรับครับว่ามันมีผลต่อโลก มีผลต่อวัฒนธรรมและอะไรอีกหลายๆ อย่าง มันไม่เพียงก่อให้เกิดแฟนหนังกลุ่มใหญ่ที่คอยติดตามหนังชุดนี้เท่านั้น แต่มันยังส่งผลให้บริษัท Walt Disney กลายเป็นบิ๊กเบิ้มในวงการแซงหน้าค่ายอื่นๆ แบบไม่เห็นฝุ่น และส่งผลให้ค่ายอื่นๆ อยากมี “จักรวาลหนังชุด” ของตัวเองขึ้นมาบ้าง
โดยส่วนตัวผมมองว่าการเดินทางมาถึงจุดนี้ของหนัง Marvel เป็นอะไรที่น่าศึกษาครับ ทั้งในแง่ของธุรกิจ การวางแผน การสร้าง ไปจนถึงในตัวหนังที่จริงๆ แล้วหนังซูเปอร์ฮีโร่แต่ละเรื่องก็จะมีทั้ง “สาร” ของตนเอง และ “สาร” ที่เชื่อมต่อหนังแต่ละเรื่องเข้าด้วยกัน ถักทอให้จักรวาล Marvel ก่อตัว ซึ่งนอกจากจะให้ความสนุกกับคนดูแล้ว ยังสอดแทรกสาระชวนคิดให้เราเอามาต่อยอดกันได้ด้วย
ถ้าถามว่า Avengers: Infinity War สนุกไหม สำหรับผมก็ขอตอบเลยว่า “สนุกสมการรอคอย” มันสนุกเต็มที่เท่าที่จะเป็นได้ ซึ่งทาง Marvel เองก็พยายามบอกเราอยู่บ่อยๆ ว่า มันยังมี Avengers 4 อีกนะ ดังนั้นผมเลยพอจะเดาได้ว่าภาคนี้คงเป็นเพียงการโหมโรง แล้วบทสรุปค่อยไปว่ากันเต็มๆ อีกทีใน Avengers 4
แต่แม้จะแค่โหมโรง ทว่ามันเป็นการโหมโรงที่จัดเต็มมากครับ อย่างแรกที่ชอบคือการแบ่งความเด่นเฉลี่ยเกลี่ยบทให้กับตัวละครในเรื่อง ทุกคนมีซีนของตัวเอง และทุกวาระที่ตัวละครใดเอ่ยปากพูดออกมา มันก็จะไม่ใช่แค่ “พูดไปอย่างนั้น” หรือ “โชว์หน้าขึ้นกล้องแค่นั้น” แต่อารมณ์ของหนัง รวมถึงมุมกล้องมันจะดึงดูดความสนใจเราให้โฟกัสไปที่ตัวละครนั้นๆ ได้อย่างพอเหมาะ
แน่นอนครับว่าความดีความชอบส่วนหนึ่งก็ต้องยกให้ผู้กำกับหนังเรื่องก่อนๆ ที่สามารถทำให้ตัวละครแต่ละตัวเป็นที่จดจำในสมองของเราได้ เมื่อมาบวกกับการเกลี่ยบทดีๆ แล้ว เลยทำให้พอเห็นตัวละครใดๆ ในเรื่องนี้แม้จะแค่ไม่ถึง 5 วินาที แต่เราก็จะจำได้และเกิดความคุ้นเคยเหมือนเห็นหน้าเพื่อนน่ะครับ ไม่ต้องมองนานก็จำได้แล้วว่าเพื่อนคนนี้คือใคร
อย่างที่ 2 คือ การเดินเรื่องที่ต่อเนื่องไม่มียั้ง ชวนให้นึกถึง The Dark Knight น่ะครับ เดินเรื่องห้อตะบึงไปเรื่อยๆ แต่ละฉากล้วนมีความสำคัญ ไม่มีการเอ้อระเหย เลยทำให้หนังไม่น่าเบื่อเลย
อย่างที่ 3 คือ เรื่องของ ธานอส (Josh Brolin) ถ้าว่าตามจริงแล้ว เรารู้จักทุกคนหมด ยกเว้นธานอสที่เรารู้อะไรเกี่ยวกับเขาน้อยมาก และหนังก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำให้เรารู้จักธานอสมากขึ้น ทำให้เราเข้าใจบอสใหญ่ตนนี้มากขึ้น ซึ่งเป็นอะไรที่ผมชอบมากๆ ทำให้เขากลายเป็นตัวร้ายที่ไม่ได้มีแค่ความร้ายแต่เพียงอย่างเดียว
และต้องยอมรับว่า Brolin ทำให้ธานอสดูมีชีวิตขึ้นมาได้จริงๆ
อย่างที่ 4 คือ ฉากแอ็กชัน ที่มีมาเรื่อยๆ ครับ จะมันส์มากมันส์น้อยต่างกันไป แต่ยอมรับว่าทำได้ดีทุกฉาก ดูสนุกตื่นเต้น บางฉากก็ทำให้เราลุ้นได้แบบคาดไม่ถึง และที่สำคัญคือลีลาการสู้ของแต่ละคนก็แสดงตัวตนของพวกเขาไปพร้อมๆ กันด้วย มันเลยไม่ใช่เป็นแค่ฉากบู๊สู้ตามสคริป แต่พวกเขาคือซูเปอร์ฮีโร่จากช่องสี่เหลี่ยมในหน้ากระดาษ ที่กระโดดออกมามาชีวิตชีวาจริงๆ ตรงหน้าเรา
อย่างที่ 5 คือ ดนตรีประกอบ ที่เป็นผลงานของ Alan Silvestri ที่บรรเลงออกมาได้ดี มีจังหวะจะโคนและเร้าอารมณ์ได้ ขณะเดียวกันก็ไม่เด่นเกินจนกลบความเด่นบนจอ เรียกว่าทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมอารมณ์แบบเนียนๆ แต่บทจะเร้าใจให้ฮึกเหิมก็ทำได้เหมือนกัน (มีฉากหนึ่งในวากันดาน่ะครับ ดนตรีโหมขึ้นมาจนใจผมพลอยฮึกเหิมตามไปด้วยเลย)
อย่างที่ 6 คือ ผมชอบตัวละครทุกตัวครับ มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะที่ได้ติดตามอะไรสักอย่างมาตั้งสิบปี ได้เห็นพวกเขาเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เห็นพวกเขาเติบโต ได้เห็นประสบการณ์หล่อหลอมพวกเขา
สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ในเรื่องนี้คือ “ความเสียสละ” ครับ มันสื่อความหมายของการเป็น “ซูเปอร์ฮีโร่” ได้อย่างดีมากๆ ยิ่งฉากหลังๆ มันทำให้เห็นเลยว่าการต่อสู้ครั้งนี้มันไม่ใช่การทำเท่ห์อะไรอีกแล้ว มันคือการเสียสละ มันคือการเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อพิทักษ์อะไรสักอย่างที่พวกเขาศรัทธา มันคือการช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบเดียวกัน…
เป็นหนังที่สนุกครบรสครับ ทำเอาผมอยากดูซ้ำอีกเร็วๆ นี้เลย เป็นอะไรที่มันส์มาก และผมชอบตอนจบมากๆ อีกด้วย และไม่ต้องพูดถึงเลยครับว่าผมอยากดู Avengers 4 มากแค่ไหน (มันอยากดูมากมายจนเหลือจะเอ่ยจริงๆ)
Anthony Russo และ Joe Russo คุมหนังเรื่องนี้ได้อยู่หมัดครับ บอกได้เลยว่านี่คือการร่วมงานกันของมืออาชีพ ไม่ว่าจะเหล่านักแสดง, ผู้กำกับ และทีมงานทุกภาคส่วน ทุกคนแสดงให้เห็นแล้วว่าการทำหนังรวมซูเปอร์ฮีโร่ตั้งหลายสิบชีวิตแบบนี้ให้ออกมาดีน่ะมันเป็นไปได้
ยอมรับว่าผมมีความสุขมากครับ ดูจบแล้วผมรู้สึกดีมากๆ มันเหมือนได้ผ่อนคลายน่ะครับ มันคือ 150 นาทีที่เต็มไปด้วยความบันเทิง ได้เจอตัวละครที่คุ้นเคย ได้ดูเรื่องราวที่น่าติดตามและเร้าใจ และมันครบรสจริงๆ คือดูเอามันส์ก็ได้ เต็มที่จริงๆ ในแง่ความบันเทิง และมีอารมณ์ขันแทรก ไหนจะมีอะไรให้สะเทือนใจอีก นี่ยังไม่รวม CG เด็ดๆ ที่เข็นกันออกมาละลานจออีกนะครับ มันเป็นอะไรที่ยอดมากจริงๆ โดยเฉพาะฤทธิ์ของดร.สเตรนจ์นี่เป็นอะไรที่ดูเพลินกันไปเลยล่ะครับ
สนุกครับ ผมชอบจริงๆ บอกได้เลยว่านี่จะเป็นหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ผม “รักที่สุด” อีกเรื่องครับ
สามดาวกับสามส่วนสี่ดวงครับ
(8.5/10)
(สปอยล์ล่ะนะครับ ไม่อยากทราบอย่าอ่านหลังจากจุดนี้ครับ)
เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ ผมรู้สึกสงบ นิ่ง และรู้สึกอยากจะไปนั่งริมกระท่อมแล้วจ้องมองอาทิตย์อัสดง คลอด้วยลมโชยอ่อนๆ ครับ…
จุดที่ผมชอบมากๆ ของหนังเรื่องนี้ ต้องยกให้ธานอส ผมชอบที่ทีมงานไม่สร้างให้เขาเป็นเพียงตัวร้ายทั่วๆ ไปที่มาเพื่อเกรียนจักรวาล หรือมาเพื่อบ้าคลั่งทำลายล้างเป็นหลัก เพราะหากลองพิจารณาดีๆ แล้ว จะพบว่าสิ่งที่ธานอสทำ ก็มีเหตุผลในแบบของเขา นั่นคือ ปรับสมดุลย์ให้จักรวาล โดยการกวาดล้างประชากรในจักรวาลไปครึ่งหนึ่ง
หนังค่อยๆ เผยให้เราเห็นถึงที่มาที่ไปของธานอส เผยให้เรารู้ถึงอดีตระหว่างเขาและกาโมร่า ซึ่งเขารักประหนึ่งลูกสาวจริงๆ และที่ผมชอบที่สุดของที่สุดคือท่าทีของธานอสน่ะครับ เอาเข้าจริงแล้วเขาจะไม่ฆ่าใครถ้าไม่จำเป็น เพราะเจตนาจริงๆ ของเขามันไม่ใช่การฆ่า แต่มันคือการปรับสมดุลย์จักรวาลตามชุดความคิดความเชื่อของเขา ดังนั้นสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำจริงๆ ก็คือ “ช่วยจักรวาล” ซึ่งมันเหมือนกับที่พวกซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลายพยายามทำนั่นแหละ
เพียงแต่วิธีมันต่างกัน ในขณะที่เหล่าฮีโร่ตั้งใจช่วยจักรวาลด้วยการ “ถนอมชีวิตให้มากที่สุด” ธานอสก็เชื่อว่าวิธีที่ดีกว่าคือ “กำจัดชีวิตที่มีอยู่เยอะเกินไปเสีย เพื่อถนอมชีวิตที่เหลือให้อยู่ต่อไปได้ – สละส่วนหนึ่งเพื่อรักษาอีกส่วนหนึ่ง” ซึ่งพอมองมุมนี้ ก็เลยพอจะทำให้เข้าใจในสิ่งที่ธานอสคิด และเข้าใจเลยว่าธานอสไม่ได้มองว่าตนคือผู้ร้ายแม้แต่น้อย (และจะว่าไป เขาก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน – มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยที่ธานอสจะหลั่งน้ำตาให้ใครง่ายๆ)
ผมมองว่าผู้กำกับและทีมงานใส่ใจรายละเอียดตรงนี้ สังเกตได้จากท่าทีของธานอสน่ะครับ เขาไม่ได้คลั่งฆ่า และยามเขาพูดให้กาโมร่าฟัง เขาก็เล่าอย่างตรงไปตรงมา ไร้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ เขาถ่ายทอดความคิดด้วยท่าทีสุขุม เพราะความคิดทั้งหลายที่เขาพูดออกมา แม้มันจะดูโหดร้ายแค่ไหน แต่มันก็เป็นความคิดที่ได้มาจากการไตร่ตรองแล้ว ตกผลึกแล้ว (ในแบบของเขา)
จุดนี้ทำให้นึกถึงผู้ก่อการร้ายต่างๆ ในโลกน่ะครับ ที่เวลาเราได้ยินข่าว เราก็จะตั้งคำถามว่า “ทำไมพวกเขาทำแบบนั้น ทำไมต้องฆ่าคน ทำไมต้องโหดร้าย” แต่ไปๆ มาๆ คนที่ทำอาจไม่ได้คิดว่าตนโหดร้ายเลย แต่พวกเขาทำไปเพื่อเจตนาบางอย่างที่เขาเชื่อมั่นว่ามันดี ที่เขาศรัทธาว่ามันคู่ควรแก่การแลกชีวิตเพื่อทำให้มันสำเร็จ
ผมเลยมองว่าศึกครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่ธรรมะสู้กับอธรรมตามแบบฉบับเดิมๆ เพียงอย่างเดียว แต่มันคือการกำหนดทิศทางของจักรวาล ว่านับจากนี้ไป “ชุดความคิดใด ที่จะเป็นชุดความคิดหลักในจักรวาล” (เพราะถ้าธานอสชนะและทำสำเร็จ ชุดความคิดที่ดูโหดร้ายอาจกลายเป็นมาตรฐานสามัญชุดใหม่ และในทางกลับกัน ชุดความคิดของเหล่าฮีโร่อาจกลายเป็น “ความคิดที่ดูเห็นแก่ตัว” ไปเลยก็ได้)
สิ่งหนึ่งที่ผมคิดต่อหลังดูจบคือ บทสรุปของศึกนี้จะเป็นอย่างไร ซึ่งผมไม่อาจคาดเดา แต่หากให้ลองคิดตามแบบของตัวเอง ผมมองว่าหนังพยายามจะเล่นเรื่อง “สมดุลย์จักรวาล” ดังนั้นไม่แน่ว่าภาคหน้า ทางออกและจุดจบของศึกนี้ อาจไม่ใช่การล้างผลาญให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสูญสิ้นไป แต่อาจเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่าง 2 มุมความคิดก็เป็นได้
ประมาณว่าจบแบบ Win Win ไม่สุดไปทางใดทางหนึ่ง ไม่โลกสวยแต่ก็ไม่โหดเกิน ให้จบแบบมีสมดุลย์… แต่ถ้าถามว่า “แล้วแบบไหนคือ Win Win” อันนี้ก็คงต้องติดตามกันต่อไป (ชักพอเข้าใจสิ่งที่ Kevin Feige พูดอยู่บ่อยๆ แล้วล่ะครับ ที่ว่า “Marvel กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังจบ Phase 3 มันจะนำไปสู่ทิศทางใหม่” ซึ่งถ้าเป็นไปดังนี้ มันจะเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างแรง)
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าทั้ง Star Wars และ Marvel ต่างก็หันมาเน้นเล่นประเด็น สมดุลย์ (Balance) แบบชัดเจนทั้งคู่ – ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นการส่งสารไปยังผู้ชมรุ่นใหม่ๆ แบบตั้งใจกันแน่ – แต่จุดนี้ก็ไม่แปลกใจครับ เพราะ Disney พยายามส่งสารหรือปลูกฝังแนวคิดบางอย่าง (ในแง่ดี) มาสู่ผู้ชม (โดยเฉพาะวัยเยาว์) มานานแล้ว
+ ความรู้สึกหนึ่งที่คิดคือ เรื่องนี้มีธานอสเป็นตัวเอกครับ อันนี้มองในมุมกลับเลยนะ มองว่า Avengers: Infinity War ว่าด้วยภารกิจที่สำเร็จลุล่วงของบุรุษผู้หนึ่งที่หวังจะชำระจักรวาลในแบบของเขา จึงไม่แปลกที่เขาจะดูเด่น ดูเป็น Center
และการที่หนังจบลงด้วยฉากพี่ท่านไปนั่งคลายอารมณ์ชมวิว อารมณ์มันก็เหมือนฉากจบแบบสงบๆ ของหนังฮีโร่หลายๆ เรื่อง ประมาณว่าหลังจากฮีโร่ผ่านภารกิจหนักๆ มาได้ ก็ขอแค่นั่งนิ่งๆ คลายเหนื่อย ชื่นชมความสำเร็จของตัวเองแบบเงียบๆ คนเดียว…
ต้องบอกก่อนว่า ที่ผมเขียนนี่แม้จะดูเหมือนชื่นชอบธานอส แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เขานะครับ เพียงแต่รู้สึกเข้าใจธานอส และเข้าใจแกนหลักที่ผู้กำกับ Anthony และ Joe Russo ต้องการนำเสนอ มันมีเหตุผลน่ะครับที่พื้นที่บนจอเป็นของธานอสเสียส่วนใหญ่ และเชื่อว่าเราจะเห็นภาพรวมแบบเต็มๆ เมื่อ Avengers 4 มาถึง
ที่เราดูกันไปน่ะ มันเพิ่งจะแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นเอง ^_^
+ ในเรื่องผมชอบ ดร.สเตรนจ์ ที่สุดครับ Benedict Cumberbatch แสดงได้เยี่ยมมาก เขาดูเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็แอบปากจัดกัดคนแบบสุภาพๆ และที่ผมสนใจที่สุดคือ “ทางเดียวจาก 14 ล้านความเป็นไปได้” ที่เขาเห็นมันคืออะไร (แต่ที่รู้ๆ คือการที่เขาส่งอัญมณีให้ธานอส มันย่อมมีเหตุผลอันสมควรแน่ๆ)
ผมชอบตอนที่ ดร.สเตรนจ์ นั่งรอธานอส แล้วธานอสก็เล่าอดีตให้ฟัง แม้ในแง่หนึ่งมันคือแผนดักจับธานอส แต่แววตาท่าทางของสเตรนจ์ก็บ่งบอกว่าเขาก็ให้เกียรติศัตรูผู้นี้ และอยากรู้จักเช่นกัน เข้าทำนองรู้เขารู้เรา
+ พอพูดถึงตรงนี้ก็นึกถึง โทนี่ สตาร์ก (Robert Downey Jr.) ที่แม้จะยังปากร้ายและเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอยู่ แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เพราะรู้สึกได้เลยว่าเขาพล่ามน้อยลง เริ่มหันมาฟังมากขึ้น เริ่มตระหนักถึงความรับผิดชอบมากขึ้น
+ ตามด้วยแบล็ค แพนเธอร์ (Chadwick Boseman) ที่โชว์ฝีมือการเป็นกษัตริย์ผู้นำทัพได้อย่างเฉียบขาด รู้จังหวะรุกจังหวะถอย ไม่ลืมจุดหมายในการรบ และไม่หลงไปกับสถานการณ์ สำหรับผมแล้ว ตัวละครนี้มีอะไรให้ศึกษาความเป็นผู้นำได้อีกเยอะ (พอๆ กับ ดร.สเตรนจ์)
+ ฉากหนึ่งที่ทำให้ผมยิ้มได้คือตอนที่ โรดี้ (Don Cheadle) กับแซม (Anthony Mackie) ทักทายกันอย่างกันเอง และสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ มันเป็นอะไรที่สวยงามดีน่ะครับ… การให้อภัยต่อคนที่สมควรแก่การให้อภัย มันสวยงามเสมอ
ระหว่างดูผมรู้สึกถึงความอบอุ่นนะ เหมือนได้เจอเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมาเป็นสิบปี ยอมรับว่าบางครั้งก็สะเทือนใจที่ต้องเห็นบางคนจากไป รายที่คิดแต่แรกแล้วว่าต้องไปแน่ๆ ก็คือโลกิ (Tom Hiddleston) แต่ก็เป็นการจากไปอย่างวีรบุรุษสมกับที่เป็นน้องของธอร์ และนั่นก็แสดงถึงการเติบโตของตัวละครนี้เช่นกัน
แต่เมื่อถึงตอนที่ตัวละครต่างๆ พากันจากไป ผมกลับไม่รู้สึกเศร้าอะไรนัก แต่ผมกลับตื่นเต้นและอยากรู้ว่าเรื่องมันจะดำเนินต่อไปอย่างไรมากกว่า (ลึกๆ คงเพราะรู้ว่า ยังไงบางตัวละครก็ต้องฟื้นอยู่แล้ว แต่จะฟื้นยังไงเท่านั้นเอง)
และพอถึงฉากจบสุดท้ายที่ธานอสไปนั่งกินลมชมวิว ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอินไปกับอารมณ์ผ่อนคลายของธานอส… เขาได้ชัยชนะมาครอง และมันแสดงให้เห็นจริงๆ ว่าเขาต้องการแค่นี้แหละ เขาไม่ต้องฆ่าใครเพิ่ม เพราะเขาได้ทำตามความเชื่อในแบบของเขาแล้ว… สีหน้าธานอสตอนนั้นเป็นอะไรที่อิ่มเอมและสงบอย่างยิ่ง
ช่างเป็น Boss ที่มีเอกลักษณ์จริงๆ
แล้วเราก็ย้อนมาสู่คำถามในตอนแรกว่า “10 ปีที่ผ่านมา เราได้อะไรจากหนังในชุด Marvel Cinematic Universe กันบ้างครับ?”
ผมว่าผมได้อะไรเยอะนะ นอกจากได้ความสนุก ก็ได้เอาทุกความสำเร็จ ทุกความผิดพลาด มาสอนตัวเองให้โตขึ้น ให้รู้จักตั้งคำถามถึงสิ่งที่ฮีโร่และผู้ร้ายตัดสินใจทำลงไป
เราอาจพูดว่า “เราโตมากับหนัง Marvel”
แต่มันจะเป็นอะไรที่เจ๋งกว่ามาก หากเราบอกว่า “เราเติบโตไป พร้อมกับหนัง Marvel”
คุณค่าในตัวหนัง มาเสริมเพิ่ม คุณค่าในตัวเรา ได้เสมอครับ