ในบรรดาหนังที่พี่ Jim Carrey แสดงนำ ดูเหมือนผมจะขำกับเรื่องนี้น้อยครั้งที่สุดยังไงก็ไม่รู้ซี
นี่ก็เป็นงานรีเมกนะครับ จากหนังที่ไม่ได้ถึงกับคลาสสิกอะไรนัก ชื่อเดียวกับฉบับนี้น่ะแหละ เนื้อหาว่าด้วยนายดิ๊ก ฮาร์เปอร์ (Carrey) ที่ทำงานอยู่ดีๆ ได้เลื่อนขั้นทำท่าจะก้าวหน้า แต่ดันซวยสุดขีด เล่นเอาบริษัทเจ๊งย่อยยับ ดิ๊กและพนักงานอีกเพียบต้องตกงานในครั้งนี้ จากเดิมมีเงินทองฐานะ มีชีวิตสุขสบาย แต่บัดนี้เขากับเจน (Téa Leoni) แทบไม่เหลือแม้กระทั่งสนามหญ้าหน้าบ้าน
ลองว่าชีวิตมาถึงจุดวิกฤติ สองสามีภรรยาเลยหาทางแก้โดยการปล้นซะเลย จากปล้นปกติก็เริ่มปล้นหนัก เป้าหมายการปล้นก็คือ นายแจ็ค แม็คอัลลิสเตอร์ (Alec Baldwin) CEO บริษัทที่ดิ๊กทำ ซึ่งพี่แกล้มบนฟูกครับ รู้แววว่าบริษัทจะถึงกาลอวสานมานานพอตัว พอเกิดเหตุขึ้นก็เลยหาทางเอาตัวรอด งานนี้ดิ๊กกับเจนเลยต้องวางแผนเพื่อเอาคืนนายจ้างจอมเห็นแก่ตัวนี้ให้จงได้
ปริมาณความขำของหนังเรื่องนี้ถือว่าไล่ๆ กับสมัยพี่แกเล่น The Cable Guy นั่นแหละครับ สไตล์มันออกมาเป็นตลกร้ายที่เน้นเสียดสีมากกว่าจะใช้หน้ายางของพี่ Jim ให้เป็นประโยชน์ มันเลยออกจะขำแบบกั๊กๆ จะตลกก็ไม่เชิง จะชีวิตก็ไม่ใช่ หนังตลกร้ายนี่ไม่ใช่ของง่ายนะครับ ใครจะจับนี่ต้องมือแม่น และก็หายากเอามากๆ ด้วย ส่วนเรื่องนี้ก็ไม่เชิงว่าจะขำสักเท่าไหร่
พี่ Jim แกไม่มีปัญหาในการเล่นครับ แต่อย่างที่บอกสไตล์เรื่องมันก่ำกึ่ง เหมือนจะมีชีวิตมาปน แต่ก็ไม่ได้ลงลึก ครั้นจะเน้นความฮาก็มีบ้าง แต่ไม่ได้ขำสุดขีดเท่าหนังเรื่องเก่าก่อนของนาย Jim อารมณ์มันเลยประดักประเดิดแทนที่จะเกิดความเพลิน ส่วนดาราเจ้าอื่นอย่าง Baldwin ก็โอเคล่ะครับ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ขโมยซีน
หลังๆ มานั่งสังเกต เหมือน Baldwin พยายามจะผันตัวมาเป็นบทสมทบแต่ขโมยซีนยังไงก็ไม่ทราบ และบทที่ว่าก็เน้นตลกเป็นหลัก เช่น The Cat in The Hat หรือ Along Came Polly แต่ส่วนที่เหมือนกันก็คือ พี่แกไม่สามารถเรียกเสียงขำได้ดังคาด
ดูแล้วก็ปลงอนิจจัง จากพระเอกหล่อเสน่ห์แรงอย่างเล่นคู่กับอดีตภรรยา Kim Basinger ใน The Marrying Man หรือบทพระเอกแอ็กชั่นฮีโร่ใน The Hunt For Red October กับ The Shadow ก็ยังดูดี แต่ตอนนี้ดูชราลงเยอะ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแกเหมาะกับบทผู้บริหารระดับสูง แค่สวมแว่นปั้นหน้าเข้าหน่อยก็ใช้ได้ กล่าวคือเข้ากับบทดี แต่ไม่ขำน่ะ
ตัวหนังต้นฉบับนั้นบทดิ๊กและเจนแสดงโดย George Segal และ Jane Fonda เนื้อหาคล้ายๆ กัน แต่ก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นขั้วกลับของ Bonnie and Clyde หนังจริงจังที่ Warren Beatty และ Faye Dunaway เล่นไว้จนคลาสสิก เนื้อหาว่าด้วยหนุ่มสาวกับพี่น้องที่รวมตัวกันปล้นฆ่า
เวอร์ชั่นก่อนนั้น สนุกแบบขำพอตัว แต่ก็โดนก่นๆ บ่นว่าขาดความคมอยู่เหมือนกัน แต่ที่ออกจะเป็นเสียงเดียวกันคือ เวอร์ชั่นนี้สู้ไม่ได้
พูดถึงหนังตลกที่ไม่ถึงดวงดาวของพี่ Jim นั้นหากดูที่จุดบกพร่องจะพบว่ามีอย่างเดียวกันเด๊ะๆ คือใช้ตัวพี่ Jim ไม่คุ้มค่า ลีลาไม่บ้าเพียงพอ หรือไม่ก็จ้างมาแต่บทไม่ชัด จะขำก็ไม่เชิง จะดราม่าก็ไม่เอาอีก พี่แกเล่นบทกึ่งๆ แบบนี้ทีไร คนดูขมวดคิ้วทุกที
ส่วนนางเอกในชีวิตจริงของ David Duchovny หรือพี่ฟ็อกซ์ มัลเดอร์ของแฟนๆ The X-Files ที่มาเล่นเป็นเจน ก็ออกมาธรรมดาสุดขีด จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้า Cameron Diaz ดาราที่โดนวางตัวมาเล่นแต่แรกมาสวมบท มันจะสนุกกว่านี้เยอะมั้ย แต่ในความเห็นผมก็น่าจะสนุกล่ะครับ เพราะพูดถึงบทตลก Diaz ดูเข้าตากว่า Leoni หลายเท่า
อีกอย่างที่ผมรู้สึกตอนดูคือ ไม่ใคร่จะอยากเอาใจช่วยสองผัวเมียนี่เท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะพวกเขาขโมยหรอกนะฮะ แต่เพราะไม่ได้รู้สึกผูกพันเอาเสียเลย เหมือนดูชายหนึ่งหญิงหนึ่งมาเดินไปเดินมาผ่านหน้าจอมากกว่า
อันนี้ไม่แปลกใจ เพราะผู้กำกับคือ Dean Parisot ที่ผ่านงานอย่าง Galaxy Quest มา แม้เรื่องนั้นจะเข้าท่าสนุกสนาน แต่ใครดูแล้วจะสัมผัสได้ว่า อารมณ์ดราม่าที่มันลงตัวในเรื่อง มิติตัวละครทั้งหลายมาจากการเค้นฝีมือแสดงของดารานำล้วนๆ ส่วนผู้กำกับคุมเรื่องราวให้เดินไปตามบทเท่านั้นเอง
ไม่เชื่อลองดู Galaxy Quest แล้วถอดการแสดงของดาราออกไป ถอดท่าทางขำๆ ของดาราออกไป ท่านจะพบว่าหนังจืดลงเยอะ
แล้วที่ไม่เข้าใจคือหนังเอาทุนไปลงอะไรตั้ง $100 ล้าน ทุนระดับนี้สร้าง Star Wars ได้สบายๆ เลยนะครับ ฉากลงทุนเทคนิคก็ไม่ได้มากมาย เข้าข่ายตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอีกเรื่อง เพราะเงินได้คืนมาแค่ $110 ล้านให้เมืองลุงแซม ส่วนตลาดนอกอเมริกันได้มา $90 กว่าล้าน หักกลบลบแล้วยังมีตัวแดงให้ช้ำใจนิดหน่อยพอเลือดซิบๆ
แฟนพี่ Jim จะดูก็ต้องทำใจนิดหน่อยนะครับ ผมเองก็ผิดคาดไปเหมือนกัน ตอนแรกเอะใจตั้งแต่กระแสมันที่เงียบๆ แล้ว ใครจะไปรู้ พอดูจริงๆ ก็ออกอาการเงียบเป็นเป่าสากตามกระแสเป๊ะๆ
โดยส่วนตัวผมว่าหนังออกมาเข้ากับสถานการณ์โลก อย่างน้อยก็บ้านเราล่ะครับ เศรษฐกิจตกสะเก็ด จนกันเป็นแถบๆ พอถึงทางตันก็อดไม่ได้ที่จะคิดสั้นๆ หาเงินด้วยวิธีง่ายที่สุด แต่เดือดร้อนประชาชีที่สุด ผมก็ไม่ได้จะหาห้ามอะไรหรอกครับ เพราะถ้าท่านคิดทำจริงๆ นะครับ ชนิดที่หูมืดตาลายใครก็ขวางไม่อยู่ แม้แต่พ่อแม่ก็เถอะ แต่กับรายที่ยังชั่งใจอยู่ก็ขอให้คิดให้ดีครับ ท่านลำบาก คนที่ท่านไปปล้นเขามาผมก็เชื่อว่าต้องลำบากไม่แพ้ท่าน … อ้าว ถามจริงถ้าท่านปล้นนี่ท่านจะไปปล้นแถบสยามพาราก้อนไหมครับ หรือท่านจะปล้นบนเครื่องบินแล้ววิ่งลงมาเรียกรถเมล์ป้ายหน้าล่ะ … ก็เปล่าใช่ไหมครับ คนที่ท่านปล้นก็เป็นประชาชนเดินดินกินข้าวแกง ประเภทเดินงกๆ ขึ้นรถสองแถว หรือไม่ก็รอรถเมล์ เขาลำบากเหมือนท่านน่ะแหละ ไม่งั้นคงขับรถไปแล้วใช่ไหมฮะ ถ้ามีเงินถุงเงินถังน่ะ
แล้วท่านจะไปเบียดเบียนเขาทำไมครับ
หรือต่อให้คนรวยมีเงินก็เถอะ การขโมยกันทำร้ายกัน คิดดูหากมันเกิดขึ้นกับท่านบ้างล่ะจะรู้สึกอย่างไร
ก็หาทางกันไปครับ ทำมาหากินดีๆ รวมหัวกับเพื่อนทำสิ่งดีๆ ก่อสัมมาอาชีพ ขณะเดียวกันก็อย่าไปหวังพึ่งพารัฐบาลครับ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนน่ะดีที่สุดแล้ว
หรือไม่นะครับ สำหรับท่านที่หน้ามืด ไม่รู้จะทำอะไรต่อ สิ่งที่ท่านควรทำคือทำงานสักอย่างหนึ่งที่ท่านถนัดที่สุด อาจเป็นงานที่ได้เงินไม่มาก แต่ขอให้มันได้เงินมาเป็นพอ
ผมมีโอกาสได้คุยกับคุณอาท่านหนึ่งนะครับ อันนี้ขอนอกเรื่องแต่มันประทับใจ คือก่อนที่ผมจะมาเป็นนักรีวิวหนังเนี่ยผมเคยเป็นเด็กมาก่อนครับ (ก็เออสิวะ) สมัยเด็กนั้นผมก็ชอบดูหนังจนโตมาเป็นนักเขียนเกี่ยวกับหนังนี่แหละ แล้วการที่ผมชอบดูหนังก็ย่อมหมายความว่าผมต้องมีร้านวีดีโอประจำจริงไหมครับ นั่นแหละ ร้านนี้ชื่อกิ๊ปวีดีโอ แถววังหินนี่แหละ ดูหนังเขาเยอะมากจนเจ้าของร้านจำได้ แต่แล้วเวลาผ่านไป ช่วงประมาณปี 2541 ที่วงการวีดีโอเริ่มมีการออกกฎบ้าบออะไรมากขึ้น ทำให้ร้านวีดีโอมากมายปิดตัวลงไป และร้านกิ๊ปของผมก็เช่นกันครับ แต่หลังจากนั้นผมก็มีโอกาสได้ผ่านทางเดิมบ่อยๆ ก็ได้เห็นอดีตร้านวีดีโอประจำที่ได้เปลี่ยนเป็นร้านขายดอกไม้ไปแล้ว
แล้วเมื่อไม่นานมานี้ผมก็ได้มีโอกาสไปแวะซื้อกุหลาบให้คนสำคัญของผม ก็พบคุณอาเจ้าของร้านน่ะแหละครับ ตกลงว่าเขาเปลี่ยนมาทำดอกไม้จริงๆ ผมจำเขาได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะจำผมได้ไหมเลยไม่ได้พูดอะไร แต่คุณอาเขาทักผมขึ้นมาว่า “โตขึ้นเยอะเลยนะ เป็นยังไงบ้างล่ะ”
โอ้ ผมนี่ยิ้มเลยครับ เขาจำผมได้ แล้วก็คุยรำลึกอดีตกันพักหนึ่ง สนุกสนานดีครับ ผมก็ถามไถ่ว่าช่วงที่เลิกทำร้านวีดีโอนั้นเป็นอย่างไรบ้าง คุณอาก็บอกว่าทุนมันสูง เลยต้องเลิกมาทำอย่างอื่น ทีนี้คุณอาเขาเคยทำอาชีพค้าขายจัดดอกไม้มาก่อนจะทำร้านวีดีโอ แม้จะไม่ได้เงินมากมาย แต่ก็เป็นอาชีพที่ทำเงินได้ เขาเลยเลือกทำ
การสนทนาครั้งนั้นเลยให้อะไรผมหลายอย่างครับ อย่างหนึ่งที่แน่นอนคือ การค้นหาว่าเราทำอะไรแล้วดี ทำอะไรได้บ้าง แล้วลงมือทำ อย่าไปหวังว่ามันจะได้เงินเป็นร้อยล้านหรือต้องได้เงินเดือนเรือนหมื่นแล้วถึงจะยินดีทำ งานเล็กๆ ก็คิดเสียว่าเบี้ยน้อยหอยน้อย สะสมกันเข้าสักวันเบี้ยน้อยก็จะกลายเป็นเบี้ยใหญ่ขึ้นมาได้ หากตั้งใจจริงและรู้จักพัฒนาสร้างสรรค์งานที่ทำให้ลงตัวมากขึ้น
ขอเป็นกำลังใจให้กับคนสู้ชีวิตทุกท่านครับ สมองและสองมือของท่านคืออภิมหาทรัพย์ที่สามารถสร้างทั้งเงินและสิ่งดีๆ ให้กับสังคมได้ ขอเพียงท่านใช้มันในทางถูกควรเท่านั้นเอง แต่ในทางตรงกันข้าม หากท่านใช้มันทำสิ่งผิด ก็เท่ากับเบียดเบียนผู้อื่นและรังแกสังคมที่ตอนนี้อ่อนแอจนไม่รู้จะเยียวยากันอย่างไรไหว
สำหรับหนังนะครับ ขอสรุปอีกหน่อยว่า เรื่อยๆ ไม่ได้สนุกอะไรนัก เป็นงานธรรมดาอีกหนึ่งชิ้นของพระเอกหน้ายางที่ไม่ดูก็ไม่น่าเสียดาย
สองดาวถ้วนครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Crime