
ภาคสามปิดตำนานสแกนเนอร์นะครับ … จริงๆ ตำนานมันควรจบไปตั้งแต่ภาคแรกแล้วครับ ดันต่อความยาวสาวความยืดกันเอง ด้วยเรื่องเงินล้วนๆ เลยเน้อ แต่ก็เอาเถอะครั้บ ผมถือหลักว่ากล้างสร้างก็กล้าดู ยิ่งหนังหลายภาคนี่ยิ่งชอบตามดู จะได้รู้ว่ามันจะไปทางไหนยังไง (หรือไม่ก็จะแถไปทางไหนอีก)
ภาคสามเล่าถึงเหล่าคนสแกนเนอร์ที่ยังเหลืออยู่ครับ ได้แก่ สองพี่น้องตระกูลโมเน่ต์ เฮเลน่า (Liliana Komorowska) กับ อเล็กซ์ (Steve Parrish) ที่ต่างก็มีพลังสแกนเนอร์ในระดับสูงทั้งคู่ แล้วมีอยู่วันหนึ่งอเล็กซ์ดันใช้พลังแบบนึกสนุกครับ กะจะให้เพื่อนลอยตัวขึ้นเป็นการโชว์ว่าเขามีพลังจริงๆ แต่ที่ไหนได้ เขากลับควบคุมพลังไม่อยู่ ซัดเพื่อนกระเด็นตกตึกไปเลย
ด้วยความเสียใจ ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางมายังเมืองไทย อาศัยอยู่ในวัดเพื่อขัดเกลาจิตใจให้สงบที่สุด จะได้ชำระพลังสแกนเนอร์ออกไป ส่วนเฮเลน่าก็อาศัยอยู่กับ ดร. เอลตัน (Colin Fox) พ่อผู้คอยคิดค้นยารักษาพลังสแกนเนอร์ แต่วันหนึ่งเฮเลน่ากลับไปใช้ยาที่ทำให้พลังสแกนเนอร์เธอตื่นขึ้นมาแบบเต็มตัวอีกครั้งโดยไม่ตั้งใจ ทีนี้เธอเลยโดนพลังสแกนเนอร์ครอบงำครับ กลายเป็นคนชั่ว หมายมั่นจะใช้พลังนี้ครองทุกอย่าง ตั้งแต่บริษัทของพ่อ เงิน และโลกทั้งใบ อเล็กซ์เลยต้องกลับมาเพื่อหยุดยั้งพี่สาวของเขา ก่อนโลกทั้งใบจะโดนเธอครอบงำ
ภาคนี้กำกับโดย Christian Duguay จากภาคสองครับ แต่ดาราเปลี่ยนทีมใหม่หมด เรื่องราวก็อันใหม่ด้วย แต่แนวยังคล้ายๆ ภาคสองครับ ออกแนวบู๊เป็นหลัก แล้วก็เน้นเรื่องความสัมพันธ์พี่น้องเข้ามาอีกหน่อยในตอนท้าย
ตอนแรกผมนึกว่าภาคนี้จะเห่ยๆ นะครับ แต่ก็ไม่น่ะ มันยังพอดูได้ ถ้าไม่คิดมากนะครับ มีฉากบู๊ มีฉากแอ็กชัน มีฉากทำนองนั้น (อ้า มีจริงๆ นะ) สาวๆ ในเรื่องก็สวยไม่ใช่เล่นครับ อย่าง Komorowska ที่ได้เป็นภรรยาของผู้กำกับหนังเรื่องนี้อีกต่างหาก เธอก็แสดงได้ไม่เลวนะครับ ตอนเป็นคนดีก็ดูดีจริงๆ แต่ตอนร้ายนี่แววตาอำมหิตมากๆ สาวอีกคนก็คือ Valérie Valois ในบทจอยซ์ สโตน แฟนสาวของอเล็กซ์ คนนี้ก็สวยเซ็กซี่ทีเดียวครับ เสียดายที่เธอไม่ค่อยได้เล่นหนังอีกเลย ส่วน Parrish พระเอกของเรื่องก็ไม่เลวครับ ท่าตอนแกเบ่งพลังสแกนเนอร์นี่ได้อารมณ์มาก หน้าบิดเบี้ยวเบ่งพลังเต็มพิกัดไปเลย ดูแล้วเชื่อครับว่าใครเจอแกเบ่งพลังใส่ไอ้นั่นตายแน่นอน เล่นเบ่งซะสุดไส้สุดพุงขนาดนั้น… พูดไปพูดมามันชักจะไม่ใช่เบ่งพลังสแกนเนอร์แล้วล่ะสิเนี่ย
พลังสแกนเนอร์ในภาคนี้ก็มีการพัฒนาไปอีกขั้นครับ นั่นคือพลังสามารถแผ่ซ่านไปตามคลื่นทีวีได้ พูดง่ายๆ คือถ้าสแกนเนอร์ที่ทรงพลังพอจ้องผ่านกล้องถ่ายทอดสด ส่งพลังไป ทุกคนที่ดูก็จะเจอฤทธิ์ของพลังกันหมดทุกคน ดูร้ายกาจดีครับ และดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ดีด้วย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรหรอกนะครับ เราเองน่าจะรู้ดีว่าตอนจบหนังต้องลงเอยที่พระเอกขัดขวางแผนผู้ร้ายได้เสมอน่ะแหละ

สรุปว่า หนังไม่มีอะไรมากมายครับ แน่นอนว่าภาคแรกดีที่สุด ส่วนภาคนี้สาวๆ สวยที่สุด (อ้ะ นี่จะชัดเจนไปหน่อยไหมเนี่ย) ส่วนการบู๊การอะไร ก็เหมือนภาคสองครับ ถ้าถอดพลังสแกนเนอร์ออกไป มันก็คือหนังบู๊ที่ใช้ปืนยิงกันหัวระเบิดเป็นว่าเล่นนั่นเอง
หนังก็ไม่ได้หาดูง่ายๆ ครับ ถ้าหาดูไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องควานให้ปวดศีรษะ อ่านรีวิวผม ดูตัวอย่างนิดหน่อยก็พอแล้วครับ หนังไม่ได้คุ้มขนาดต้องตามดูหรอก
อ้อ อีกอย่าง หนังมาถ่ายที่ประเทศไทยด้วยครับ มีฉากคนพูดไทยเป็นฉากหลังด้วย พระเอกก็พูดไทยนะครับ แต่ ฟาง ไม่ ซ้าดเลย ฟังไปฟังมามันจะฮาหน่อยๆ ด้วย เช่น ฉากหนึ่งเขาเดินตามตลาดครับ เห็นแม่ค้าขายอาหารอยู่ก็เลยทัก “ทาม อาโหร่ย อาโหร่ย นา … คาย ดี ม๊าย” คนไทยที่ฟังก็ตอบเป็นไทยชัดเลยว่า “ขายดีจ้า” ในใจก็นั่งฮา ฟังกันรู้เรื่องเน้อะ เก่งจริงๆ อิอิ
แต่ผมว่าแนวคิดเข้าท่านะครับ การคุมพลังสแกนเนอร์โดยใช้พลังสมาธิ เรื่องทางศาสนาพุทธเข้าช่วย เพราะศาสนาเราสอนให้คนสงบและปล่อยวางครับ จึงค่อนข้างเหมาะเจาะเป็นอย่างดี ก็ไม่ใช่สาระอะไรที่ใหญ่โตหรอกครับ แต่เก็บไปเป็นกำไรคิดว่า ถ้าเปรียบพลังสแกนเนอร์เป็นพลังโทสะ ความโกรธแล้ว เราก็สามารถเกลามันให้สงบได้ คุมมันให้มีพลังในทางที่ดีได้นะครับ
ไม่ถึงสองดาวครับ

(5/10)
หมวดหมู่:Action, Horror, Movie Reviews, Sci-Fi










