Action

The Negotiator (1998) เดอะ นิโกชิเอเตอร์ คู่เจรจาฟอกนรก

u4LQDr6QB5i7dz3sMuP8u3EOd3D

The Negotiator เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมดูแล้วชอบสุดๆ ด้วยความเข้มข้นของบทและการแสดงระดับยอดของ Samuel L. Jackson และ Kevin Spacey

และเป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ต้องกระหน่ำแอ็กชันก็มันส์ได้

เนื้อหาว่าด้วยนายตำรวจนักเจรจา แดนนี่ โรมัน (Jackson) เกิดตกเป็นผู้ต้องสงสัยฆาตกรรมเพื่อนตำรวจด้วยกัน (Paul Guilfoyle) แต่แดนนี่ไม่ได้ทำครับ อีกทั้งเขายังรู้ด้วยว่าสาเหตุที่เพื่อนถูกฆ่าก็เพราะรู้มากเกินไป เขารู้ว่ามีการโกงกินในกรมตำรวจก็เลยโดนเก็บ

เมื่อแดนนี่ต้องเผชิญกับความกดดัน แล้วด้วยความต้องการหาหลักฐานพิสูจน์ความจริง เขาเลยตัดสินใจจับคนเป็นตัวประกันกลางสำนักงานกิจการภายในซะเลย ตัวประกันที่เขาจับไว้ก็มี สารวัตรนีบอม (J.T. Walsh), รูดี้ ทิมมอนส์ (Paul Giamatti) ที่ช่างพล่ามสุดๆ และแม็กกี้ (Siobhan Fallon) เลขาหน้าห้องของนีบอม โดยแดนนี่ตั้งใจว่าจะบีบและวางหมากให้ฆาตกรตัวจริงเผยตัวออกมา และเขาก็มั่นใจสุดๆ ว่าคนทำก็ต้องเป็นตำรวจด้วยกันนี่แหละ

พอเกิดสถานการณ์กดดัน ทางตำรวจก็ย่อมต้องส่งตำรวจเจรจามาต่อรองเพื่อช่วยเหลือตัวประกัน ซึ่งแดนนี่ได้เรียกร้องให้ไปตามเจ้าหน้าที่คริส เซเบียน (Spacey) นักเจรจาต่อรองมือพระกาฬที่อยู่อีกเขตให้มาเป็นคนเจรจาต่อรองกับเขา…

ทีนี้ล่ะครับ เมื่อสองยอดนักเจรจามาเจอกัน คุณก็จะได้พบกับความสนุกในการวางหมาก หาทางแก้เกมกันไปมา แดนนี่น่ะอยากให้คริสมาเป็นหนึ่งในหมากการหาตัวคนผิด ส่วนคริสเองก็ไม่สนใจอะไรนอกจากการช่วยตัวประกันออกมาให้ครบจำนวน

แล้วความเข้มข้นสุดมันส์ก็เริ่มที่ตรงนั้นล่ะครับ หนังยาวสองชั่วโมงกว่า แต่น่าติดตามไปตลอดทั้งเรื่อง คนที่สมควรได้รับการคารวะก็หนีไม่พ้นสองนักแสดงนำ Jackson และ Spacey สองคนนี่เฉือนฝีมือกันตลอดครับ รายแรกก็แสดงท่ากดดันกันไป รายหลังก็มาเนิ่บๆ แบบขงเบ้ง วางแผนไว้ในใจเดินหมากแก้เกมตลอด ความสนุกมันก็คืออะไรเหล่านี้ล่ะครับ ใช้สมอง ตามเกม วางแผน คนที่ชอบหนังใช้สมองหรือหนังเชิงจิตวิทยาหน่อยๆ น่าจะโปรดหนังเรื่องนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น

ว่ากันว่าตัวหนังเองได้แรงบันดาลใจมาจากเค้าโครงเรื่องจริงครับ ช่วงกลางยุค 80 ที่เซ็นต์หลุยส์ก็เคยมีเหตุการณ์โกงในกรมตำรวจและเกิดเรื่องทำนองนี้อีกต่างหาก James DeMonaco กับ Kevin Fox เลยเอามาเขียนเป็นบท แรกเริ่มเดิมทีบทคริส เซเบียนนั้นจะได้ Sylvester Stallone มารับไปครับ ส่วนบทแดนนี่ โรมันนั้นก็ตกเป็นของ Spacey แต่ต่อมาพี่บึกสไลแกก็บอกปัดบทไป ทำให้ Spacey ได้โอกาส ขอเปลี่ยนบทมาแสดงเป็นฝ่ายคริสแทน แล้วก็แคสดาราคนใหม่มารับบทแดนนี่ หวยก็มาลงที่ Jackson ครับ

งานนี้ต้องขอบคุณพี่สไลที่บอกปัดบท เราเลยมีหนังชั้นยอดให้ดูกัน (อย่าโกรธกันนะครับพี่สไล)

ตัวหนังจัดว่ามันส์ครับ ข้นจริงๆ ช่วงต้นๆ มันอาจจะช้าๆ เนือยๆ ไปบ้าง เพราะมันต้องปูพื้นตัวละครแล้วก็บอกเล่าที่มาที่ไป แต่พอแดนนี่ตัดสินใจจับตัวประกันเมื่อไรล่ะก็ ความเข้มข้นก็เริ่มไหลมาเทมาครับ หมัดเด็ดแรกของหนังคือ การที่ให้นักเจรจากลายเป็นคนจับตัวประกันซะเอง ดังนั้นแผนสารพัดที่ตำรวจเคยใช้ก็ไม่ได้ผลแล้วจริงไหมครับ อย่างการสอดกล้องเพื่อสอดแนม แดนนี่ก็จับทางได้หมด หรือการเอาตำรวจมาเจรจา ก็ดันไปพาเอาผู้ช่วยแดนนี่มา แหม มวยมันคนละชั้นนี่ครับ จะมาทำอะไรได้ จากนั้นหนังก็ทิ้งปมให้เราสงสัยว่า ทำไมแดนนี่ต้องเรียกคริสมาด้วย ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด

1362efb12e61656fd9db7bbaca0fd880

แล้วพอสองนักเจรจามาเจอกัน ทีนี้ล่ะครับ เฉือนกันสนุกตามความสามารถของนักแสดงไปเลย มีการลักไก่ ซ้อนแผนกันสนุกทีเดียว ขณะเดียวกันเราก็ต้องมาลุ้นว่าแดนนี่จะหาข้อมูลคนผิดมาได้แค่ไหน และคริสจะยอมช่วยแดนนี่หรือไม่ ทั้งหมดนี้คือสารพัดหมัดที่หนังซัดใส่คนดูครับ

นอกจากสองนักแสดงพระกาฬแล้ว ดาราเจ้าอื่นก็คุ้นหน้าในหนังตำรวจทั้งนั้นล่ะครับ ตั้งแต่ David Morse ที่เราเจอประจำไม่บทตำรวจก็บททหารมาเป็นหัวหน้าหน่วยสวาท, Ron Rifkin มารับบทหัวหน้าและเพื่อนของแดนนี่ และ John Spencer มาเป็นหัวหน้าอัล เทรวิสที่ต้องพยายามควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลายไปกว่านี้ แต่คนที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Walsh ผู้ล่วงลับ กับบทประเภทมีลับลมคมใน เหมือนจะเป็นผู้ร้ายนี่สุดยอดเสมอครับ และหนังเรื่องนี้ก็อุทิศให้กับเขาด้วย เพราะเขาเสียชีวิตก่อนหนังออกฉายได้ไม่นาน แต่บทแบบนี้ Walsh เนี่ย สุดยอดแบบหาตัวจับยากครับ

หนังอย่าง The Negotiator นี่ถือว่ามีดีให้ชมครับ นอกจากความเข้มของบทแล้ว ยังแทรกอะไรให้เราได้เรียนรู้ ที่แน่ๆ คือมวยและกลยุทธ์ในการพูดคุยเจรจาต่อรอง อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวนะครับ จริงที่เราทุกคนอาจไม่ได้ไปเจรจาต่อรองกับคนร้ายทุกวัน แต่เราก็ต้องพบปะสนทนากับเพื่อนพ้องน้องพี่ แม้แต่การพูดคุยธรรมดาๆ มันก็มีศิลปะให้การสนทนานั้นเป็นไปอย่างรื่นหู หรือในการสนทนาเพื่อเจรจาจะทำอะไรสักอย่างในชีวิตประจำวัน การรู้จักศิลปะการต่อรองหรือการพูดก็ถือเป็นสิ่งไม่เสียหลายครับ นอกจากจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นแล้ว ยังทำให้เราดูเป็นคนน่ารักด้วย เพราะเมื่อเราพูดดีก็ย่อมทำให้คนอื่นมองเราดีตาม

หลักการเจรจาต่อรองนั้นก็มีหลายประการที่น่าสนใจครับ อย่างหนึ่งคือแนวทางการแจกเปลี่ยนหรือการทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า Win Win นั่นคือเมื่อเรากับใครสักคนเจรจาจะทำอะไรสักอย่าง หรือแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่าง การตกลงที่เหมาะสมที่สุดคือการตกลงที่เราและเขาต่างก็เป็นฝ่ายได้ อย่างในเรื่องไงครับ คริสจะพยายามยื่นขอเสนอให้แดนนี่ แดนนี่ก็ยื่นข้อเสนอให้คริส แล้วก็หาจุดกลางที่จะได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย

เรื่องแบบนี้เราก็สามารถจับเอามาใช้ได้ เช่นเรื่องง่ายๆ อย่างการขอพ่อแม่ไปเที่ยวแล้วกลับดึกสักหน่อย หากพ่อแม่ยื่นโนติสท์มาว่าต้องกลับก่อนสามทุ่ม แต่เราต้องการจะไปถึงสักเที่ยงคืน เราก็ต้องประนีประนอมยอมความ ต่อรองสักหน่อยว่าไม่กลับเที่ยงคืนก็ได้ แต่ขอเป็นสี่ทุ่มหรือสี่ทุ่มครึ่งได้ไหม แล้วพรุ่งนี้จะยอมอยู่บ้าน หรือจะไม่ออกไปเที่ยวดึกขนาดนี้ในสัปดาห์ต่อไป ของแบบนี้ต้องอาศัยความอดทนในการเจรจาครับ

ความอดทนก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำหรับการเจรจา จะไว้ครับว่ายิ่งเราตบะแตก สติพังเร็วเท่าไร โอกาสที่เราจะไม่ได้ตามที่หวังก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อย่างการขอพ่อแม่นี่ก็เหมือนกันครับ แน่นอนว่าวินาทีแรกที่เราบอกว่า “ขอกลับเที่ยงคืน” พ่อแม่ผู้ปกครองย่อมหูผึ่งพร้อมคิด “ตั้งเที่ยงคืนเชียว” ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พ่อแม่จะแสดงอาการไม่พอใจ ซึ่งสภาวะที่พ่อแม่ไม่พอใจนี่แหละคือสภาวะที่เราต้องอดทนและผ่านไปให้ได้ ยิ่งเราใจเย็นและค่อยๆ ต่อรองโอกาสที่จะได้ผลลัพธ์แบบ Win Win ก็ย่อมมากขึ้น แต่ถ้าเราอาละวาดเมื่อไร ประมาณว่าพ่อแม่ไม่ให้เลยไปดิ้นพราดๆ ที่พื้น… แบบนั้นถ้าเราอายุเลย 10 ขวบมาแล้วมันก็คงจะได้ผลน้อยลงครับ

จำไว้ อัตราความสำเร็จที่เราจะได้จากการดิ้นพราดๆ ฟาดงวงฟาดงา มันจะแปรผกผันกับอายุครับ ยิ่งโตยิ่งได้ผลน้อย ดังนั้นอย่าดีกว่าครับ กลยุทธ์ใช้แต่อารมณ์นี่นอกจากจะทำให้เราไม่ค่อย Win แล้ว ยังจะทำให้เราติดนิสัยเอาแต่ใจ และคุมอารมณ์ไม่เป็นอีกด้วย

ถ้าอยากฝึกตนเป็นนักเจรจาต่อรอง หัวใจที่ลืมไม่ได้คือ การคุมตนเองครับ เมื่อคุณคุมได้แล้ว พลังจะค่อยๆ ก่อตัวในตัวคุณ และคุณจะสามารถคุมสถานการณ์ได้ในเวลาต่อมาครับ

จริงที่เราคงไม่อาจคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด แต่เราคุมตนเองในการจะกระทำกับสถานการณ์นั้นได้ เหมือนเราเดินออกไปนอกบ้านแล้วฝนตกน่ะครับ เราย่อมไม่สามารถคุมฝนหรือให้ตกหรือไม่ตกไม่ได้ แต่เราคุมตนเองได้ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นั้น จะกางร่ม หาที่หลบ หรือเริงร่าไปกับมัน

อย่าลืมนะครับ ฝึกทักษะดีๆ เหล่านี้ไว้ มีแต่ได้กับได้

negotiator

จากเนื้อหาทำให้ผมสะท้อนใจได้อย่างหนึ่ง แม้ในเรื่องแดนนี่และคริสจะอยู่ในสถานะคนละฝ่ายกัน แต่การมองทุกอย่างอย่างเป็นกลาง การต่อรองเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับผลดีคือแนวทางอันเหมาะสมที่สุดสำหรับทุกปัญหา

แล้วก็มองมาบ้านเรา… เฮ่อ ทำอะไรกันอยู่เน้อะ ทั้งในและนอกสภา… ไม่อยากเข้าเรื่องนี้หรอกครับ แต่มันอดไม่ได้น่ะ

เอาเถอะครับ เราอาจเปลี่ยนอะไรเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็พึงระลึกกับตนเองไว้นะครับ การเจรจาต่อรองประนีประนอมนั้นถือเป็นทางออกที่ช่วยให้คนสองคน (หรือสองกลุ่ม) หาจุดพอดี แต่การจะได้มาซึ่งจุดพอดี เราก็ต้องทำใจให้พอ อย่างตั้งแง่หรือนำอคติอันหนักอึ้งมาถือ

ความขัดแย้งของคนสองคนทำให้คนรอบข้างสะเทือนได้ฉันใด

ความข้ดแย้งของคนสองกลุ่มย่อมสะเทือนถึงประเทศได้ฉันนั้น

เอาล่ะครับ ก่อนจะไปไกลกว่านี้ กลับมาที่หนังดีกว่า สรุปว่าถ้าชอบความข้นล่ะก็ดูได้เลยครับ หนังยอดเยี่ยมจะตายไป ขอชม F. Gary Gray คนกำกับครับ ทำได้ดี แม้จะยังไม่ลงตัวทั้งหมดก็ตาม

ดูเพื่อรู้จักนำไปใช้ต่อรอง แต่อย่าลืมนะครับ ว่าต้องต่อรองให้เรากับอีกคนนั้น Win Win ได้ทั้งสองฝ่าย

แม้เราจะไม่ได้มากที่สุด แต่ก็ยังได้บ้าง และยังได้ถึงสองคนด้วย

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

Star22

(7.5/10)