Action

Hostage (2005) ฝ่านรกชิงตัวประกัน

hostage-poster

กับหนังเรื่องนี้เพื่อนผมก็เห็นบอกว่าสนุก ส่วนผมก็อยากจะดูอยู่แล้วล่ะครับเพราะมีพี่ Bruce Willis แสดงนำ ส่วนมากหนังแกจะแย่จะดีมันก็ดูได้แหละครับ ขนาดหนังที่เขาบ่นๆ กันอย่าง Hudson Hawk ผมยังชอบเลย

คราวนี้พี่แกมารับบทเป็น เจฟฟ์ ทัลลี่ย์ อดีตตำรวจนักเจรจาที่เคยทำงานพลาด เลยย้ายตัวเองมาเป็นตำรวจในเมืองเล็กๆ ครับ แต่จนแล้วจนรอดก็หนีไม่พ้นงานต่อรอง เมื่อบ้านเศรษฐี วอลเตอร์ สมิธ (Kevin Pollak) โดนคนจับเป็นตัวประกันขึ้นมา

งานนี้ไม่ต้องเดาก็รู้ใช่มั้ยครับว่าเจฟฟ์ต้องลงมือลุยเพื่อคลี่คลายสถานการณ์นรกครั้งนี้

แต่เรื่องราวเริ่มวุ่นวายเมื่อพวกผู้ร้ายใช้ครอบครัวของเจฟฟ์มาเป็นเครื่องต่อรอง … แล้วเจฟฟ์จะทำอย่างไร

จริงๆ ฟอร์มหนังไม่ใหม่นะครับ สูตรแบบนี้มีมาเยอะ และสำหรับพี่ Bruce ยิ่งแล้วใหญ่ พวกเคยทำงานพลาดในอดีตแล้วต้องมาเจออดีตตามหลอกหลอนอีก ดังนั้นเรื่องใหม่หรือไม่อย่าไปสน มาดูกันดีกว่าว่าของเขาสนุกมั้ย

อย่างที่บอกเรื่องไม่มีอะไรใหม่ และหนังก็พยายามใส่เรื่องกดดันพระเอกของเรามาเรื่อยๆ แต่โดยรวมก็ถือว่ายังดีได้อีก โอเค บรรยากาศกดดันน่ะมันมีครับ ในบ้านงี้ทึมมืด บรรยากาศตอนต่อรองก็มืดเข้าว่า เพียงแต่มันมีแต่ความกดดันหดหู่อย่างเดียว แต่พวกเรื่องการชิงไหวชิงพริบดันอยู่ในระดับกลางๆ ยังไม่เด่นมาก

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังทำได้ดีในเรื่องความหดหู่ ความสิ้นหวังของพระเอก เพราะแกโดนหนัก ไหนจะเรื่องงาน ครอบครัวยังมาซวยอีก เป็นการเดินที่ถูกทางแล้วที่ให้พระเอกไร้ทางออกมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่จุดสำคัญคือตอนท้ายมันต้องมีการแก้ปม ให้พระเอกแก้เกมได้ค่อนข้างเหมาะสมหน่อยมันจึงจะก่อความมันส์ขึ้นมาได้ แต่กับเรื่องนี้การแก้เกมเป็นไปอย่างธรรมดาจนไม่ค่อยลุ้นสักเท่าไร

กล่าวโดยรวมๆ หนังเลยออกมาเรื่อยๆ เปิดมาโอเค ได้รู้ว่าพระเอกมีปม ต่อมาก็โอเคได้รู้ว่าพระเอกเลือกเป็นเพียงตำรวจเล็กๆ เพื่อลืมอดีต จากนั้นเรื่องก็น่าสนเพราะมีการจับตัวประกัน เราก็ลุ้นว่าพระเอกจะมีการโชว์เหนือบ้างหรือไม่ แต่ปรากฎว่าไม่มีครับ พระเอกไม่ได้มีเหนือให้โชว์ เขาเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น

มาคิดอีกแง่ก็เหมือนหนังต้องการจะสื่อจะเสนอให้เราเห็นชีวิตของตำรวจนักเจรจาคนหนึ่งไม่ใช่พระเอกแนวซูเปอร์ฮีโร่ ทำให้จังหวะของหนังมันติดดิน และจังหวะอารมณ์ของ เจฟฟ์ พระเอกของเรื่องก็เลยติดดิน ไม่ใช่พระเอกซูเปอร์แมนแบบบทจอห์น แม็คเคลนที่แกเล่นไว้ใน Die Hard

ดังนั้นถ้าใครนึกจะได้เห็นแกแบบแอ็คชั่นฮีโร่เก่งๆ ล่ะคงต้องทำใจครับ แกไม่ได้แน่ขนาดนั้น สไตล์เขาคราวนี้มาในแนวแบบตอนเล่น Mercury Rising มากกว่า เป็นแค่ตำรวจธรรมดาพยายามจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง

ดังนั้นลึกๆ แล้วก็รู้สึกว่าหนังยังดีได้อีกครับ เพราะนึกว่าแกจะมีโชว์เหนือ มีอะไรเก่งๆ ให้ดูบ้าง แต่มันลงเอยที่ว่านี่เป็นเหมือนหนังชีวิตตำรวจเสียมากกว่า พวกความระทึกทริลเลอร์ตามแบบฉบับนั้นก็พอมี เพียงแต่ไม่ได้เหนือกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ที่เราเคยดูกันมาและผมต้องบอกตัวเองอยู่ตลอดว่าต้องไม่เอาไปเทียบกับ The Negotiator เป็นอันขาด

และก็ต้องทำใจอีกอย่าง ที่เจฟฟ์ไม่ได้เก่งกาจก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร เพราะถ้าเก่งจริงแกคงไม่พลาดจนมันกลายเป็นอดีตที่แสนเศร้าฝังใจขนาดนั้นหรอก

แต่ผลออกมาหนังไม่แย่นะครับ ถือว่าโอเคอยู่ เพียงแต่มันไม่ได้เร้าใจหรือเข้มข้นแบบเต็มๆ เท่านั้น หนังออกจะติดดินไม่ได้หวือหวาโอเวอร์ แต่มันเดินเรื่องอย่าง “เป็นไปได้” ไม่ได้เดินเรื่องอย่าง “หนังแอ็คชั่นเอามันส์”

ดังนั้นถ้าอยากดูหนังแอ๊คชั่นมันส์ๆ แบบ Die Hard ล่ะคงไม่ใช่เรื่องนี้นะครับ แต่เรื่องนี้มันเป็นแนวแอ็คชั่นแบบทริลเลอร์มากกว่า พวกไหวพริบก็ไม่ค่อยมีให้ชิงเท่าไหร่

การแสดงของพี่ Bruce นั้นจัดว่าคงตัวแล้วนะ บทเดิมๆ แต่แกก็สามารถเล่นกับแง่มุมใหม่ แกไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่อีกแล้ว ในเรื่องนี้เขาเป็นเพียงคนธรรมดา ตำรวจธรรมดาที่พยายามแก้ไขสถานการณ์ที่เกินความควบคุม อันนี้ต้องทำใจหน่อยนะครับ ในเรื่องแกไม่ใช่ตำรวจระห่ำที่วิ่งไล่ตามเครื่องบินอีกแล้ว ซึ่งเขาทำได้ดีเลยล่ะครับ แววตาตอนเห็นครอบครัวโดนจับนี่ปวดร้าวจริงจังได้ใจไปเลย

ส่วนดาราเจ้าอื่นไม่มีอะไรให้ว่ากล่าวครับ เล่นได้เรื่อยๆ ไม่มีปัญหา แต่จุดที่เป็นปัญหาน่าจะเป็นบทนั่นแหละที่ออกมาราบเรื่อยไม่มีจุดเร้าใจ และการกำกับของ Florent Emilio Siri ที่ทำออกมาเรื่อยๆ สไตล์หนังยุโรป ก็ถูกแล้วล่ะครับแกเป็นผู้กำกับจากฝั่งยุโรปนี่หน่า กลิ่นอายเลยยุโรปแท้ เอาแค่โลเกชั่นนี่ก็ดูเป็นสไตล์ยุโรปแล้ว พวกป่าเขากึ่งจะเตียนๆ หน่อย

ครับ เอาเป็นว่าหนังจัดว่าใช้ได้ครับ คือมันจะโอเคตรงตัวละครที่มีแรงขับค่อนข้างชัดน่ะครับ เพียงแต่สถานการณ์ถ้าจะหวังความมันส์ในเชิงแอ็คชั่นล่ะไม่ค่อยมีหรอก มันจะเดินเรื่องแบบเน้นเนื้อหานิ่งๆ มากกว่าจะเน้นความตื่นเต้นหรือความมันส์ – ถ้าปรับใจให้ถูกแนวที่หนังนำเสนอก็น่าจะโอเค อย่างน้อยเฮีย Bruce ก็ยังไว้ใจได้ครับ แล้วเรื่องนี้เรายังจะได้เห็นเขาแสดงบทในเชิงดราม่ามากขึ้นด้วย

ส่วนรายได้ก็ถือว่าไม่เข้าเป้าครับ ทำไปราว $77 ล้านจากทั่วโลก แต่ทุนสร้างอยู่ที่ $52 ล้าน หนังเลยจัดว่าเข้าเนื้ออยู่

สองดาวกว่าครับ

Star21

(6.5/10)

kinopoisk.ru