
พอดีผมก็ชอบอยู่แล้วล่ะหนังตลกล้อเลียนแบบนี้ ยิ่งมีลุง Leslie Nielsen มาเล่นนำด้วยแล้วก็อยากจะพูดถึงให้ครบๆ ครับ เพราะผมว่าก็พูดถึงงานแกไปหลายเรื่องแล้ว และก็ชอบการเล่นบทตลกของแกเป็นการส่วนตัวด้วย เลยขอพูดซะหน่อยนะครับ
ส่วนใครไม่รู้จักเขาขอเท้าความนิดนะฮะ เขาคือนักแสดงหนังแนวตลกอีกคนที่ขยันเล่นหนังแนว Spoof (ล้อเลียน) เรื่องที่แจ้งเกิดของลุงเขาก็คือ Airplane! หนังล้อแนวหายนะยุค 70 – 80 ที่ทำได้บ้ามากครับ ใครไม่ดูขอให้ดูซะนะครับ ยิ่งถ้าท่านชอบแนว Spoof ล่ะก็ รับรองได้ใจแหงมๆ
ครับ และจากเรื่องนั้นเป็นต้นมา ลุง Leslie ก็เล่นแนวฮามาเพียบครับ เรื่องที่ดังที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น The Naked Gun ทั้ง 3 ภาค ที่ฮาสุดเดชเหมือนกัน แล้วส่วนมากสไตล์การแสดงตลกของเขาจะเป็นตลกแบบหน้าตายครับ ประมาณว่าพูดจาตอนแรกเหมือนจะมีวิชาการดี แต่ซักพักแกจะพล่ามไปไหนก็ไม่รู้ ปล่อยให้คนฟังยืนงงมันตรงนั้นแหละ ซึ่งถ้าใครชอบตลกแบบนี้ก็คงจะรักลุงเขาล่ะครับ เหมือนผมนี่แหละ
คราวนี้ลุง Leslie Nielsen รับบทไม่ธรรมดานะครับ เป็นบทแดร็กคูล่า ซึ่งหนังเองก็ทำขึ้นเพื่อล้อเลียนหนัง Dracula ทั้งหลายน่ะแหละ ซึ่งหลักๆ หนังจะทำเพื่อล้อ Dracula ฉบับ 1931 อันแรกสุดที่ Bela Lugosi แสดงไว้นะฮะ และคนที่ลงมือยำหนังก็คือ Mel Brooks
นี่ผมคงต้องมาแนะนำ Mel Brooks อีกรายแล้วมั้งเนี่ย 
ครับ Mel Brooks ผมว่าหลายคนคงไม่รู้จัก แต่หากท่านเป็นคนชอบหนังตลกอายุเยอะหน่อยน่าจะจำเขาได้ล่ะฮะ เพราะจะว่าไป เขาก็คือผู้กำกับรายแรกๆ ที่ทำหนังแนวล้อเลียนออกมาจนติดตลาด ซึ่งไม่ว่าจะ Alfred Hitchcock หรือหนังมหากาพย์อย่าง Star Wars ก็โดนแกยำมาหมดแล้วครับ ซึ่งไว้ผมจะเอามาเล่าให้ฟัง และที่แกยำนี่ไม่ธรรมดานะ เพราะยำได้ฮามาก ยิ่งถ้าใครดูหนังต้นฉบับมาก่อนล่ะได้ฮากลิ้งครับ อีกอย่างผมว่ามุกของแกยังเป็นแนวละมุนละไม ไม่หยาบโลนเกินไป ก็พูดได้เต็มปากล่ะครับว่าฮาบันเทิงแบบเด็กดูได้ (แต่ก็ควรมีผู้ใหญ่แนะนำในบางฉาก เพราะแกก็มีลามกเหมือนกัน)
ดังนั้นสำหรับผมเมื่อชื่อลุง Leslie มาเจอกับ Mel Brooks ผมก็อดจะอยากดูไม่ได้ล่ะครับ สองบุคลากรแถวหน้าของหนังตลกมาร่วมงานกันทั้งที

หนังเล่าถึงท่านเคาน์ แดร็กคูล่า (Leslie Nielsen) ที่เดินทางจากทรานซิลเวเนียมายังลอนดอน เพื่อตามล่าหาหญิงคนรักในอดีตชาตินามว่ามีน่า (Amy Yasbeck) และเขาคิดจะพาเธอไปมีชีวิตนิรันดร์ด้วยกัน
แต่แน่ล่ะครับ เมื่อมีตัวร้ายก็ต้องมีพระเอก ซึ่งก็นำโดย โจนาธาน ฮาร์เกอร์ (Steven Weber) คู่หมั้นของมีน่า ตามด้วยคุณหมอแจ๊ค ซีเวิร์ด (Harvey Korman) พ่อของมีน่า และที่ขาดไม่ได้นั่นคือ ดร.อับราฮัม แวน เฮลซิ่ง (Mel Brooks) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผีดูดเลือดที่มาเพื่อต่อกรกับแดร็กคูล่าโดยเฉพาะ
แล้วศึกนี้จะลงเอยอย่างไร จะมีคนตายมากแค่ไหน ตัวละครจะติงต๊องขนาดไหน และบทสรุปจะไร้สาระหรือไม่อันนี้รอดูในเรื่องนะครับ
ผมร่ายซะน่าดูเลยว่ามั้ยครับ จริงๆ ผมว่ามันก็น่าดูนะ แต่เหมาะกับคอหนังตลกล้อเลียนมากกว่า และอีกอย่างก็คือ หนังไม่ได้ฮากลิ้งขนาดหนักหรอกครับ อันนี้ว่ากันจริงๆ เลยนะ คือมันขำกันแบบละมุนละม่อมจริงๆ ครับ มุกหยาบแทบไม่มี ใครคิดจะดูหนังยิงมุกแหลกแบบ Scary Movie ล่ะไม่ใช่เรื่องนี้ล่ะครับ อีกทั้งหนังเรื่องนี้จงใจล้อเลียนหนัง Dracula และมันก็ตั้งใจอยู่แค่นั้นจริงๆ พูดให้ชัดคือท่านจะไม่ค่อยเห็นมุกแซวหนังเรื่องอื่นๆ ปรากฎในหนังหรอกครับผม ซึ่งก็เป็นแนวทางของ ลุง Mel แกอยู่แล้ว ถ้าแกตั้งใจจะล้อเรื่องไหนแกก็จะเล็งอยู่แค่นั้น ไม่จับเอามามุกยำหลายมือ ซึ่งจุดนี้ผมพูดตรงๆ ว่าคนดูรุ่นใหม่อาจไม่สนุกกับหนังอย่างเต็มที่ครับ เพราะมันไม่ได้หลากหลายยำหนังเยอะๆ เท่าหนังล้อเลียนยุคใหม่ ที่จะเน้นยิ่งยำเยอะยิ่งดีซะล่ะมากกว่า (แต่ฮาไม่ฮาว่ากันอีกที อย่างน้อยต้องยำหนังหลายๆ เรื่องรวมกัน)
ถ้าให้ว่ากันตามจริงนะครับ ผมก็คงไม่เข้าข้างลุงทั้งสองของผมหรอก คือหนังมันก็ตลกครับ แต่ท่านต้องเคยดู Dracula มาก่อนและท่านต้องดูแบบเก็บรายละเอียดพอสมควร เพราะหนังมันแซวมีหลายระดับ บางอันก็ตื้นๆ เป็นตลกท่าทางแบบ Mr. Bean แต่บางอันก็เล่นเรื่องของสำเนียง เรื่องตลกคำพูด ซึ่งอัตราส่วนของมุกสองอย่างนี้จะพอๆ กันเลยครับในเรื่อง ดังนั้นถ้าท่านเก็ทแหลกแบบผมนี่ก็ฮาตลอดล่ะฮะ แต่ถ้าท่านไม่เก็ทก็อาจจะสนุกแค่ตอนตลกท่าทางเท่านั้น ซึ่งถ้าจะว่าไปหากท่านดูตอนปีที่มันฉายท่านก็คงจะฮาล่ะครับ พวกมุกล้มหรือเดินชนกัน แต่หากท่านมาดูยุคนี้มันคงจืดตาไปหมดแล้ว
แต่ถ้าท่านเคยดูหนัง Dracula อย่างมุกหนึ่งที่ผมประทับใจมากคือตอนที่แวน เฮลซิ่งพาโจนาธานไปเอาหมุดตอก ลูซี่ (Lysette Anthony) เหยื่อสาวของแดร๊กคูล่าที่หลุมฝังศพ ทีนี้พอตอนทั้งสองเปิดโลงมาพบว่าลูซี่ยังดูเหมือนมีชีวิตครับ เหมือนเธอยังไม่ตาย
โจนาธานเลยถามขึ้นว่า “เธอยังไม่ตายเหรอ?”
แวน เฮลซิ่งก็ตอบว่า “ไม่ แต่เธอกลายเป็นนอสเฟอราตู” (นอสเฟอราตูเป็นคำที่แวนเฮลซิ่งใช้เรียกแวมไพร์ครับ)
พี่โจนาธานแกก็ดันพาซื่อถามต่อว่า “อ้าว นี่เธอกลายเป็นอิตาเลี่ยนไปแล้วเหรอ?” (ฟังจากชื่อไงครับ พี่แกก็นึกว่าลูซี่ตอนอยู่เป็นคนอังกฤษ ตอนตายเจือกมีชื่อใหม่เป็นอิตาเลี่ยนซะอย่างงั้นน่ะ)
มุกแบบนี้ยอมรับครับอธิบายบางคนก็อาจไม่เก็ท แต่ผมนี่นั่งขำเลยครับ มันติงต๊องดีจริงๆ เอาเป็นว่าถ้าท่านเก็ทมุกสไตล์นี้ล่ะลองดูหนังทั้งเรื่องเถอะครับ มันมีอะไรสนุกๆ ฮาๆ แบบนี้อยู่ค่อนข้างมากเหมือนกัน
แต่ก็ต้องยอมรับครับ ว่าความฮามันไม่ได้มากมายหรอก แม้ผมจะชอบมุกอย่างที่ว่าไป แต่ก็ว่าตามจริง หากถามว่าฮาตายมั้ยก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น อีกอย่างผมว่าเองเสียงฮาเสียงหัวเราะหากจะมาวัดที่ผมดูแล้วฮา แล้วแปลว่าหนังเรื่องนั้นดีมันก็ไม่ถูกเรื่องหรอกครับ มันต้องดูเหมือนกันว่าผมดูแล้วชอบ แต่ก็ต้องแยกด้วยว่าหากเป็นคนอื่นล่ะจะชอบมั้ย คนส่วนมากจะฮามั้ย ซึ่งผมก็คงต้องบอกว่าฮาเหมือนกัน แต่คงไม่บ้าแตกบ้าตายเท่า Scary Movie ภาคแรกหรอกครับ (แต่อาจจะฮาราวๆ ภาค 3 กับ 4 นะ)
อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ล่ะครับ เพราะหนังฮาเรื่องนี้แม้ผมจะชอบ แต่ก็ไม่ใช่ฮาแบบสากลเท่าไหร่ ไม่เหมือน Mr. Bean ที่เปิดได้ทุกสายการบินเพราะมันตลกสากลกว่ากันมาก
สำหรับการแสดงนั้น ผมว่าก็ดีได้ระดับหมดล่ะครับ ทุกคนเล่นได้ขำโดยเฉพาะ Peter MacNicol ที่เล่นเป็นเรนฟิลด์ได้ฮาแบบสุดๆ
บอกได้ว่านี่ไม่ใช่งานชิ้นที่เยี่ยมที่สุดของลุง Leslie กับ ลุง Mel หรอกครับ ยังมีงานที่ฮามากกว่านี้อีกเยอะ ไว้จะนำมาบอกให้ฟังคราวหน้าแล้วกัน ส่วนคราวนี้ก็เอาเรื่องนี้ไปก่อนนะครับ ถือว่าพอดูได้สนุกๆ พอแก้ขัดน่ะครับ แต่ผมชอบนะ อันนี้ต้องแล้วแต่ท่านล่ะนะครับ ผมอยากให้ลองก่อนซักหน่อย ไม่ชอบค่อยปิดเพราะไหนๆ มันก็มาทางฟรีทีวีแล้วน่ะครับ ถ้าชอบค่อยว่ากัน ไม่ชอบก็ว่ากันไป
ผมเห็นว่าสนุกในระดับหนึ่งนะครับ แต่อย่าเชื่อผมมากล่ะ เพราะผมมันชอบเป็นการส่วนตัวหน่อยๆ อยู่แล้ว
สองดาวกว่าๆ ครับ

(6/10)
หมวดหมู่:Comedy, Movie Reviews, Vampire Movies










