
ทฤษฎีการหยุดเวลาถูกเอามาเล่นอีกครั้งครับ คราวนี้เป็นเรื่องของแซ็ค กิบบ์ส (Jesse Bradford) เด็กหนุ่มหัวรั้นที่ได้พบกับนาฬิกาไฮเปอร์ไทม์ สิ่งประดิษฐ์ของ ดร. เอิร์ล ดอฟเลอร์ (French Stewart) เข้าโดยบังเอิญ เขาก็ใช้มันทำเรื่องสนุกๆ ในแบบของเขาเองสารพัดล่ะครับ ซึ่งจุดหมายสำคัญคือใช้มันในการเอาชนะใจสาวนักเรียนแลกเปลี่ยนจากเวเนซูเอล่าที่แสนจะน่ารัก ที่ชื่อว่าฟรานเชสก้า (Paula Garcés) อีกต่างหาก
แต่ความสนุกก็เกิดได้ไม่นานครับ เรื่องวุ่นวายร้ายแรงก็ตามมาทันที เพราะเหล่าวายร้ายก็ต้องการนาฬิกาเรือนนี้เหมือนกัน เอาไปทำเรื่องชั่วๆ ตามประสาน่ะแหละ พวกมันก็นำโดย เฮนรี่ เกทส์ (Michael Biehn) ซึ่งพอมันรู้ว่าแซ็คส์มีนาฬิกาเท่านั้นแหละ ก็เริ่มดำเนินการตามล่ารวมไปถึงจับตัวพ่อของแซ็คส์ (Robin Thomas) ไปอีกด้วย
เอาล่ะสิครับ งานนี้แซ็คส์กับฟรานเชสก้าจึงต้องแข่งกับเวลาในการช่วยเหลือพ่อของเขา และต้องหยุดยั้งแผนร้ายของพวกมันให้จงได้
จริงๆ น่าสนนะ หนังหยุดเวลาแบบเนี้ย แล้วคนทำหน้าที่กำกับก็คือ Jonathan Frakes อ้า ถ้าท่านเป็นคอหนังไซไฟแนวอวกาศล่ะก็ต้องรู้จักแน่นอนครับ เขาคือผู้รับบทผู้การวิล ไรเกอร์จากหนังชุด Star Trek ฉบับ The Next Generation และพี่ท่านก็เคยสำแดงฝีมือกำกับ Star Trek ภาคหนังใหญ่ ในตอน First Contact แล้วก็ Insurrection มาแล้ว และก็ทำออกมาได้สนุกพอตัวซะด้วย ก็ไม่แน่แปลกใจล่ะครับที่พี่ท่านได้เก้าอี้กำกับหนังเรื่องนี้ไปครอง ก็ถือเป็นงานประเดิมเรื่องแรกที่ไม่ได้เกี่ยวกับหนังชุด Star Trek น่ะนะครับ
แต่ผลที่ได้ออกมาต้องบอกว่ามาตรฐานเหมือนหนังทีวีมากกว่า จังหวะมันเรื่อยๆ ครับ แต่ในเรื่องของ Effect น่ะโอเค ดีทีเดียวน่ะครับ ข้าวของต่างๆ ตอนโดนหยุดเวลาก็ดูเนี๊ยบดี เอาแค่ฉากที่แซ็คส์ขับรถหนีการตามล่าของพวกผู้ร้ายไปตามถนน แล้วก็ต้องขับฝ่านรถที่กำลังหยุดอยู่กับที่นั่นก็ยอมรับแล้วล่ะครับว่าเนียนดีมาก จะมีหลุดบ้างก็นิดๆ หน่อยๆ พอจะมองข้ามได้ครับ
แต่สำหรับเนื้อหา บทยังไม่แข็งครับว่าตามตรงเลยนะ คือค่อนข้างหลวมเลยล่ะ บทเขียนโดย Rob Hedden คนที่เคยเขียนและกำกับ Friday the 13th Part VIII: Jason Takes Manhattan มาก่อน ซึ่งบทก็อ่อนพอๆ กันน่ะแหละ ขนาดได้ Andy Hedden, J. David Stem และ David N. Weiss มาช่วยกันเขียนเรื่อง มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรมากขึ้นเลยครับ เหมือนแค่หนังวัยรุ่นที่มีนาฬิกามาแทรกเท่านั้นเอง ธรรมดามาก ตามสูตรเลยครับ ตอนแรกพระเอกต้องตะลึงกับอำนาจของวิเศษที่ตนได้รับ ตามด้วยการจีบสาว แล้วก็ลงเอยด้วยการเอาชนะผู้ร้าย แหม ไม่หลุดจากกรอบเลยนะพี่
ก็เพราะมันอยู่ในกรอบเกินไปนี่แหละครับ มันเลยไม่มีอะไรจากเกินคาดเดานัก ก็พอเข้าใจครับว่หานังทำออกมาเอามันส์ แต่มันไม่มันส์เท่าไร ความตื่นเต้นไม่เจอเลย คือดูๆ ไปผมว่าโดราเอมอนตอนเกี่ยวกับนาฬิกาหยุดเวลายังสนุกกว่าตั้งเยอะ อย่างน้อยก็คือมันมีอะไรให้เก็บไปคิดครับ ผมจำได้เลย โดราเอมอนตอนนั้นน่ะ โนบิตะหยุดๆๆๆ เวลาอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งพอเครื่องมันเจ๊งก็ถึงจะสำนึกตนได้ แต่กับเรื่องนี้ก็เหมือนแค่ออกมาเรื่อยๆ น่ะครับ แต่อันนี้ก็ไม่รู้จะว่ายังไงน่ะเน้อ มันเป็นสไตล์ของหนังวัยรุ่นฝรั่งเขาน่ะครับ สาระถ้ามีก็น่าพูดถึง แต่ถ้าไม่มีก็คงว่าได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาไม่ได้หวังสาระเป็นสรณะอยู่แล้ว
แต่เรื่องความสนุกน่ะคงต้องว่าไปตามตรงครับ ก็ถือว่าเรื่อยๆ เดาได้หมด ตอนจบธรรมดามากๆ จนดูจบผมก็ยังรู้สึกว่าดูหนังทีวีอยู่ดี เพราะนอกจาก Effect แล้ว ส่วนอื่นๆ มันไม่เหมาะกับการเป็นหนังโรงเลย
ทว่าครับ ทว่าแม้หนังจะเอื่อยเฉื่อย แต่ดนตรีนี่เจ๋งหนับเลยนะครับ กับฝีมือของ Jamshied Sharifi ซึ่งให้อารมณ์สนุกแบบวัยรุ่นผสมเข้ากับกลิ่นอายของหนังไซไฟได้เป็นอย่างดี
ตกลงว่าหนังดีพอจะเสียเงินหรือเสียเวลาดูหรือไม่ … ก็ขอบอกว่ายังไม่ถึงขั้นครับ พอดูเพลินๆ น่ะได้ คือถ้าตอนมันเข้าโรงล่ะผมคงเบรคท่านตัวโก่งล่ะครับ อย่าไปเสียเงินเยอะขนาดนั้นเพื่อดูหนังเรื่องนี้เลยดีกว่า ดูบนทีวีน่าจะเหมาะสมกว่าครับ จบแล้วก็จบกัน แต่ต่อให้ไม่ดูก็ไม่น่าเสียดาแม้แต่น้อย ยกเว้นท่านจะอยากดูหนุ่มหล่อสาวสวยล่ะก็คงสมใจครับ เพราะพระเอกนางเอกก็หน้าตาดีทั้งคู่ Bradford พระเอกจากหนังอย่าง Swimfan ก็โอเคครับ หล่อเข้มตามสไตล์ไป ส่วน Garcés ก็สวยคมอยู่เหมือนกัน ซึ่งเธอก็น่ารักดี สำเนียงก็น่ารักด้วย 
เอาเป็นว่าผมเฉยๆ ครับ ไม่ติดใจอะไร ส่วนผู้กำกับ Frakes นั้น ผมก็พอเข้าใจแหละว่าทำไมที Star Trek ถึงทำออกมาได้ยอดขนาดนั้น ก็หนังมันคุ้นมือนี่ครับ เขาคลุกคลีเล่นหนัง ถ่ายหนัง ST มากี่ปีแล้วล่ะ มันเลยคุ้นและรู้จังหวะจะโคนของหนังเป็นอย่างดี ทำออกมาเลยลื่น แล้วทีมงานยังหน้าคุ้นอีกเลยสบายครับ ทำงานได้อย่างเบามือ แต่กับเรื่องนี้มันหนังใหม่ เริ่มต้นใหม่หมด ก็เหมือนเด็กตั้งไข่เดินทางเส้นใหม่ล่ะครับ มันเลยยังไม่แม่นเท่าไหร่ และจะด้วยเพราะแกทำงานหนังทีวีมาเยอะด้วยล่ะมั้งครับ งานหนังเรื่องนี้เลยออกมาในโทนทีวีเหลือเกิน
ทำหนังไม่ใช่ของง่ายหรอกนะครับเนี่ย ต่อให้คลุกคลีกันมาแค่ไหนก็ตามทีเถอะ
ส่วนรายได้ก็ได้ไป $38 ล้านจากทั่วโลก ในขณะที่ทุนอยู่ที่ $26 ล้านครับ ก็ยังไม่คุ้มทุนเท่าไร แต่เชื่อว่าคงไปโปะได้ตอนลงม้วนลงแผ่นและลงเคเบิ้ล/สตรีมครับ
ครับ เอาเป็นว่าผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่มีอะไรให้พูดถึงครับ
ไม่ถึงสองดาวครับ

(5/10)
หมวดหมู่:Action, Movie Reviews, Sci-Fi










